แฉแก๊ง "ออฟซ่า" ยกเค้าบ้านเศรษฐีทั้ง กทม.-ปริมณฑลค่าพันล้านบาท ด้าน 2 โจรคู่หูติดต่อมอบตัว ตำรวจไม่สน ลั่นหากต่อสู้ต้องใช้มาตรการรุนแรง "เจี๊ยบ" โสภิตนภา ดาราสาวรุดดูของกลาง ระบุถูกยกเค้าปี 51 ร่วม 5 ล้าน ส่วน"หน่อย" บุษกร โดนปลายปี 49 สูญ 7 ล้าน เผยเหยื่อรายเดียวโดนโจรกรรมค่า 200 ล้าน
ที่ บช.น. เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีการจับกุมแก๊งนักแข่งรถโจรกรรมทรัพย์สินตามหมู่บ้าน ว่า สำหรับนายหทัย ไชยวัณณ์ หรือออฟ หรือออฟซ่า อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวนั้น ได้ร่วมพิจารณากับพนักงานสอบสวนแล้ว ลงความเห็นว่าตำรวจคัดค้านการประกันตัว เพราะก่อคดีมาแล้วหลายครั้ง มีความเสียหายมหาศาล และเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
ผบช.น.กล่าวอีกว่า ส่วนนายพีรวัฒน์ ตะวันธรงค์ หรือพี อายุ 23 ปี และนายกีรติ กุมพล หรือเค อายุ 30 ปี ผู้ร่วมแก๊งตระเวนลักทรัพย์มโหฬารกว่า 200 ล้านบาท ได้ติดต่อขอมอบตัวต่อ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.แล้ว อยู่ระหว่างการยืนยันความชัดเจนในเรื่องของวันเวลาว่าจะมามอบตัวเมื่อไหร่ ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมและดำเนินการสอบสวนตรงไปตรงมา
ที่กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (กก.สส.น.4) เมื่อเวลา 11.00 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเจ้าทุกข์หลายรายทยอยมาตรวจสอบทรัพย์สินของกลางจำนวนมากที่ถูกแก๊งออฟซ่าโจรกรรม จนเต็มห้องสืบสวน เจ้าหน้าที่ต้องให้ลงชื่อทีละ 5 ราย ก่อนจะเข้าไปตรวจดูทรัพย์สิน เพราะเกรงว่าทรัพย์สินจะสูญหาย
ต่อมานางโสภิตนภา ชุ่มภาณี หรือเจี๊ยบ พร้อมกับ นายธิตินัน์ ชุ่มภาณี สามี ได้มาพบ พ.ต.อ.ปกรณ์ กิตติวัฒน์ ผกก.สส.น.4 เพื่อขอดูทรัพย์สิน เพราะเคยถูกคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์สินภายในบ้านย่านสุขุมวิท ได้ทรัพย์สินกว่า 5 ล้านบาท ในวันขึ้นบ้านใหม่ เจ้าหน้าที่จึงให้ดาราสาวพร้อมสามีเดินดูทรัพย์สิน ปรากฏว่ามีสร้อยข้อมือล้อมเพชร ซึ่งพบว่าเหมือนของนางโสภิตนภาที่หายไป โดยลองใส่ข้อมือพบว่าใส่ได้พอดี ทำให้ดาราสาวมีสีหน้าแจ่มใส แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง
จากนั้น นางบุษกร วงศ์พัวพันธ์ หรือหน่อย เดินทางมาพร้อมกับแม่สามี พร้อมเข้าไปทักทายกับ "เจี๊ยบ" โสภิตนภา จากนั้นได้พากันเดินดูทรัพย์สินบนโต๊ะวางของกลาง พบว่าของกลางรายการที่ 75 เป็นนาฬิกาปาเต๊ะ สีดำดาราสาวถึงกับตกใจและยิ้มด้วยสีหน้าสุขใจ โดยกล่าวว่า เหมือนนาฬิกาที่หายไปมาก และยังมีเครื่องประดับอีก โดยใช้เวลาตรวจสอบทรัพย์สินประมาณ 30 นาที ก่อนจะเดินทางกลับ
"เจี๊ยบ" โสภิตนภา กล่าวว่า เดินทางมากับสามีเพื่อมาตรวจดูทรัพย์สิน ภายหลังจากทราบข่าวว่าตำรวจจับกุมแก๊งลักทรัพย์รายใหญ่ได้ เมื่อตรวจสอบแล้วพบสร้อยข้อมือล้อมเพชรที่คล้ายกับของตน แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งคนร้ายได้ขโมยทรัพย์สินภายในบ้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2551 เหตุเกิดในท้องที่สน.ทองหล่อ ทรัพย์สินที่สูญหายไปเป็นนาฬิกาและเครื่องประดับ รวมมูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท หลังจากนี้จะนำเอกสารหลักฐานการแจ้งความและเอกสารใบซื้อขายสร้อยข้อมือล้อมเพชรมาให้ตำรวจตรวจสอบด้วย
ด้าน "หน่อย" บุษกร กล่าวว่า มาตรวจสอบทรัพย์สินหลังทราบข่าวจากสื่อมวลชน จากการตรวจสอบทรัพย์สินของกลาง พบนาฬิกายี่ห้อปาเต๊ะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับของตนที่ถูกคนร้ายขโมยไป แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะทรัพย์สินดังกล่าวคนอื่นก็มีกันเยอะ วันนี้ได้เตรียมหลักฐานใบแจ้งความและเอกสารการซื้อขายมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูด้วย เบื้องต้นทราบว่ามีของกลางบางส่วนถูกนำไปจำนำและนำไปขายที่ปอยเปตแล้ว จะรอตรวจสอบของกลางที่จะนำออกมาจากโรงรับจำนำด้วยว่ามีของตนบ้างหรือไม่
"คนร้ายขโมยทรัพย์สินภายในบ้านของดิฉันเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2549 ทรัพย์สินที่สูญหายไปมีทั้งนาฬิกา เครื่องประดับต่างๆ และเงินสด 2 แสนบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกคนร้ายขโมยประมาณ 7 ล้านบาท หลังจากเกิดเหตุทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้ทรัพย์สินคืนมา ทั้งทางไสยศาสตร์และไปดูหมอ ซึ่งหมอดูเคยบอกว่าจะได้ทรัพย์สินคืน หลังจากนั้นดิฉันกับสามีจะไม่เก็บทรัพย์สินและของมีค่าไว้ในบ้านแล้ว จะนำไปฝากไว้ที่ธนาคาร" หน่อยกล่าว
พ.ต.อ.อาณัติ เกล็ดมณี รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (รอง ผบก.น.4) กล่าวถึงการดำเนินการรวบรวมทรัพย์สินของกลางที่ยึดมาได้จากผู้ต้องหาว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง รวบรวมเป็นบัญชีพรัอมบันทึกภาพ และตั้งคณะกรรมการตรวจมอบของกลางให้พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง เป็นผู้ดูแลรักษา หากประชาชนที่สงสัยว่าจะเป็นทรัพย์สินของตัวเองให้ไปดูของกลางได้ที่พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง
"หากใช่ทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมมา ให้นำหลักฐานของทรัพย์สินเข้าติดต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุที่แจ้งความไว้ให้เป็นผู้ประสานงานกับพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง เพื่อตรวจดูทรัพย์สินโดยละเอียด หากมีหลายรายต้องมีการโต้สิทธิ ต้องนำหลักฐานมายืนยันว่าใครมีหลักฐานชัดเจนกว่ากัน หากใช่ทรัพย์สินของตนจริงก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุนำเอกสารไปติดต่อขอรับทรัพย์สินจากพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ที่จะมอบผ่านร้อยเวรเจ้าของคดีทางผู้เสีย หากไม่สามารถรับทรัพย์สินได้เอง" รอง ผบก.น.4 กล่าว
พ.ต.อ.อาณัติกล่าวอีกว่า ทรัพย์สินที่คนร้ายซื้อเป็นรถยนต์ และทองรูปพรรณ บ้าน มูลค่าหลายล้านบาท พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนส่งศาล หากไต่สวนว่าได้มาจากการกระทำผิดศาลจะสั่งให้จำหน่ายของกลางขายทอดตลาด แล้วนำเงินมาชดเชยให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งทางศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด
ขณะที่ พ.ต.อ.ปกรณ์ กิตติวัฒน์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.อภิชาติ อุดรมาตย์ สว.ผ.1กก.สส.บก.น.4 นำตั๋วจำนำที่พบในบ้านผู้ต้องหากว่า 50 ใบ ไปตรวจสอบตามโรงรับจำนำ พบว่ายังมีทรัพย์สินอยู่ในโรงรับจำนำหลายรายการ จึงให้ฝ่ายสืบสวนบันทึกภาพทรัพย์สินเหล่านั้นมาให้ผู้เสียหายดู และจะประสานพนักงานสอบสวนอายัดทรัพย์สินที่พบทั้งหมด
ผกก.สส.บก.น.4 กล่าวว่า การดำเนินการล่าตัวผู้ต้องหาที่เหลือ ทั้งนายพีรวัฒน์ ตะวันธรงค์ และนายกีรติ กุมพล ได้จัดกำลังชุดสืบสวน 2 ชุด กำลัง 15 นาย ออกติดตามไล่ล่า และได้กำชับให้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากคนร้ายใช้เงินที่ขโมยมาได้ไปซื้ออาวุธปืนจำนวนมากติดตัวอยู่ตลอดเวลา หากมีการปะทะกันตำรวจต้องใช้มาตรการรุนแรงตอบโต้ จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้โจรกรรมมาหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง มีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะเท่าที่ผู้เสียหายแต่ละรายถูกโจรกรรมไปแต่ละครั้งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทก็มี
พ.ต.อ.ปกรณ์กล่าวด้วยว่า ผู้ต้องหาที่เหลือทั้ง 2 คน เป็นมือเจียรตัดตู้เซฟ เริ่มเส้นทางโจรตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อยตามคอนโดมิเนียม จนมาเข้าร่วมทีกับนายออฟ ฉายาในวงการนักแข่งเรียก "หมูสกปรก" เพราะมีนิสัยทำตัวสกปรกและชอบพูดลับหลังให้ร้ายทีมแข่งและนักแข่งคนอื่นจนเป็นที่รู้จักกันดี จึงตั้งฉายา "ออฟซ่า" หรือ "หมูสกปรก" วางแผนแยบยล มีการนำบัตรประชาชน ใบขับขี่ที่ขโมยมา ไว้แลกปิดบังอำพรางตัวเอง เพื่อเข้าโจรกรรมในสถานที่ต่างๆ
รายงานข่าวแจ้งว่า เหยื่อที่ถูกโจรกรรมทรัพย์สินมากที่สุดคือ ของนายราชศักดิ์ สุเสวี ประธานกรรมการบริษัท เพาเวอร์พี จำกัด (มหาชน) หรือ พีพี อยู่บ้านเลขที่ 39/2 หมู่บ้านธารารมณ์ ซอยรามคำแหง 9 แขวงและเขตวังทองหลาง ดำเนินกิจการเกี่ยวกับรับเหมาและอุปกรณ์ก่อสร้าง และยังเป็นนักเล่นหุ้นรายใหญ่ เหตุเกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน-15 ธันวาคม ขณะนั้นผู้เสียหายเดินทางไปต่างประเทศ โดยคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ภายในบ้าน ด้วยการงัดประตู้เหล็กด้านหน้า ก่อนทุบกระจกหน้าต่าง ประตูด้านหลัง แล้วเข้าไปในบ้าน ตัดทำลายตู้เซฟ 1 ใน 2 ใบ ที่ผู้เสียหายเก็บทรัพย์สินไว้บริเวณชั้นล่างของบ้าน ในตู้มีธนบัตรไทย เงินสกุลต่างประเทศ และเครื่องประดับประเภทสร้อยทอง แหวนทอง สร้อยเพชร แหวนเพชร นาฬิกา พระเครื่อง รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของบ้านได้แจ้งความไว้ที่ สน.วังทองหลาง
รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบประวัติของดีเอสไอพบว่า นายราชศักดิ์ สุเสวี หนึ่งในผู้เสียหายที่ถูกโจรกรรมทรัพย์สินและเงินสดในตู้เซฟมูลค่า 200 ล้านบาท เป็นผู้ต้องหาที่ดีเอสไอสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญา ฐานปั่นหุ้นบริษัท เพาเวอร์-พี จำกัด (มหาชน) ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อมูลว่านายราชศักดิ์มีทรัพย์สินเก็บรักษาไว้ในบ้านพักถึง 200 ล้านบาท ทางดีเอสไอก็จะเร่งส่งชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบเส้นทางการเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีที่ดีเอสไอสั่งฟ้องไปก่อนหน้านี้
รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า แนวทางการสืบสวนของดีเอสไอ ซึ่งดำเนินการร่วมกับพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังให้ความสนใจในประเด็นที่นายราชศักดิ์อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับการปั่นหุ้น 300 ล้านบาท ของบริษัท ปิคนิค ซึ่งล่าสุด ก.ล.ต.กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทปิคนิค