ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดิ่งลง ตามตลาดหุ้นเอเชียและหุ้นทั่วโลก หลังยังคงมีข่าวร้ายของเศรษฐกิจและสถาบันการเงินของสหรัฐฯออกมาต่อเนื่อง โดยดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 มี.ค. ปรับตัวลงทันทีที่เปิดตลาดและไหลรูดลงต่อเนื่องทั้งวัน ก่อนมาปิดที่ระดับ 416.52 จุด ลดลง 15 จุด หรือ 3.48% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8,057.81 ล้านบาท
ส่วนค่าเงินบาทร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่ มาที่ 36.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ราคาทองคำในตลาดฮ่องกงทะยานขึ้นต่ออีก 6.55 เหรียญสหรัฐฯมาที่ 948.45 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์
สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศ
ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 12,317.46 จุด ลดลง 491.11 จุด หรือ-3.86% ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิด 7,280.15 จุด ลดลง 288.27 จุด หรือ-3.81% และดัชนีสเตรทไทม์ สิงคโปร์ ปิด 1,533.40 จุด ลดลง 61.47 จุด หรือ-3.85% นอกจากนี้ดัชนีดาวโจนส์ ล่วงหน้ายังปรับตัวลงอีก 150 จุด มาที่ 6,902 จุด เป็นสัญญาณชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปรับตัวลงต่อ หลังเมื่อวันศุกร์ (27 ก.พ.) ปรับลง 119.15 จุด มาที่ 7,062.93 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 40 ขณะที่ตลาดหุ้นแถบยุโรปที่เปิดทำการวันที่ 2 มี.ค.พากันปรับตัวลงเช่นกัน
โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงรุนแรง
เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่รุนแรงลงลึกกว่าที่คาดหลังตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ปี 51 ของสหรัฐฯออกมาติดลบสูงถึง 6.2% ถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 26 ปี และเป็นการติดลบมากกว่าที่ได้ประมาณการในครั้งแรกว่าจะติดลบเพียง 3-4% ประกอบกับยังมีการประเมินว่าไตรมาส 1 ปีนี้ จีดีพีน่าจะยังติดลบต่อ นอกจากนี้โกลด์แมนแซคส์ บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ยังได้ ออกบทวิเคราะห์ระบุว่าตลาดหุ้นเอเชียปีนี้จะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยจะปรับตัวลงลึกมากกว่าปี 2551 ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นทั้งเอเชียจะทำนิวโลว์หรือสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในปีนี้
ที่สำคัญนักลงทุนยังพากันตื่นตระหนกกับข่าวที่เกิดขึ้นในแวดวงการเงินทั้งของโลกและของประเทศไทยที่ว่า
บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (เอไอจี กรุ๊ป) ของสหรัฐฯ อาจต้องขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในประเทศต่างๆอีกรอบใหญ่ หลังขายบริษัทประกันชีวิตในญี่ปุ่นไปแล้ว รวมทั้งต้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การขายรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
คือ การตัดขายกลุ่มธุรกิจประกันชีวิตรายใหญ่ที่ เอไอจีกรุ๊ป ถือหุ้น 100% ในบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ โฮลดิ้ง จำกัด (เอไอเอ) ที่เกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอไอเอ ในประเทศไทย โดยอาจจำเป็นต้องขายกิจการให้แก่ธนาคารอินดัส-เตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของประเทศจีนในฮ่องกง
ข่าวคราวของ เอไอจี กรุ๊ป กลับมาเขย่าขวัญสั่นประสาทบรรดานักลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ และนายธนาคารอีกครั้ง เมื่อมีการคาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 51 ของ เอไอจี กรุ๊ป ว่า
จะมีผลการขาดทุนหนักถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.16 ล้านล้านบาท (36 บาทต่อเหรียญฯ) หลังจากขาดทุนในไตรมาสก่อน 54,000 ล้านเหรียญ (1.94 ล้านล้านบาท) และแม้จะพยายามตัดอวัยวะรักษาชีวิต โดยการขายบริษัทประกันภัยใหญ่ในญี่ปุ่นไปเมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว แต่เงินที่ได้มายังไม่ สามารถถมช่องว่างของการขาดทุนที่กลายเป็นหลุมดำลึกของเอไอจีกรุ๊ปได้
ล่าสุดสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า
เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 51 มีผลขาดทุนสุทธิ 61,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ 2.22 ล้านล้านบาท และทั้งปี 51 ขาดทุนสุทธิถึง 99,000 ล้านเหรียญฯ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ประกาศให้ความช่วยเหลือเอไอจีกรุ๊ปเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 3 อีกประมาณ 30,000 ล้านเหรียญฯ หลังจากปีที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือแล้ว 150,000 ล้านเหรียญฯ โดยทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่างระบุว่า การให้ความช่วยเหลือเอไอจีให้กลับมามีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอีกครั้งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเอไอจี มีผู้ร่วมทำธุรกิจอยู่ในทั่วโลก รวมถึงยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และระบบการเงินสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอไอจี เหลือ Ba2 จาก Baa1 ด้านฟิทช์ เรตติ้ง ได้ลดอันดับตราสารการเงินมาอยู่ที่ BB เพราะเห็นความเสี่ยงทางด้านการเงินของเอไอจี อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า เอไอจี มีแผนที่จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เอไอยู โฮลดิ้งส์.
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว