วันนี้ (26 ก.พ.) นายศิริพงษ์ กรุงวงศ์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานลำปาง เปิดเผยว่า ปัญหาหมอกควันไฟที่ยังปกคลุมพื้นที่ จ.ลำปาง อย่างหนาแน่น
รวมถึงท่าอากาศยานลำปาง ทำให้เครื่องบินไม่สามารถขึ้น-ลงรันเวย์ได้ เนื่องจากทัศนวิสัยการมองเห็นลดลง ปกติแล้วนักบินจะมองเห็นรันเวย์ก่อนนำเครื่องลงจอดประมาณ 20-30 กิโลเมตร แต่ขณะนี้มองเห็นได้เพียงระยะ 10 กิโลเมตร ทางหอบังคับการบินต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ เพื่อส่งสัญญาณให้นักบินทราบพิกัดที่ตั้งของท่าอากาศยาน และทิศทางของการร่อนลง รวมถึงบนภาคพื้นดิน จะเปิดสัญญาณไฟแสดงความชัดเจนทุกจุด เนื่องจากหมอกควันหนามาก และปีนี้สถานการณ์หมอกควันไฟปกคลุมเกิดขึ้นเร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา
ด้านนายสุรพจน์ กาญจนสิงห์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สาขาลำปาง กล่าวว่า จากการตรวจสอบช่วงวันที่ 4-25 ก.พ.ที่ผ่านมา
พบไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 33 จุด ป่าสงวนแห่งชาติ 117 จุด และพื้นที่การเกษตรอีก 54 จุด ซึ่งสาเหตุมาจากการเข้าไปจุดไฟเผาของป่า ทำให้ลุกลามเร็วท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว จนกลายเป็นหมอกควันไฟสะสมปกคลุมทั่วทั้งจังหวัด ล่าสุด ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กต่ำกว่า 10 ไมครอน สูงเกินมาตรฐานมาเป็นวันที่ 2 แล้ว อย่างไรก็ดี ขณะนี้ได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชนช่วยกันสร้างจิตสำนึก ให้ประชาชนงดการจุดไฟเผาป่าและที่โล่งแจ้ง
ทุกสายการบินเปิดบริการตามปกติ โดยทัศนวิสัยพื้นที่ราบนักบินสามารถมองเห็นรันเวย์ และท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังติดตั้งเครื่องช่วยขึ้น-ลง และเดินอากาศยานที่มีประสิทธิภาพ ยืนยันว่าสถานการณ์หมอกควันไม่มีปัญหา นักท่องเที่ยวยังเดินทางได้ สำหรับอากาศในตัวเมืองเชียงใหม่มีสภาพ ฟ้าหลัว มองเห็นดอยสุเทพไม่ชัดเจน แต่ทัศนวิสัยการขับขี่ยังเป็นไปตามปกติ ค่าฝุ่นละเอียด พีเอ็ม 10 ที่สถานีเชียงใหม่ อยู่ที่ 120.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และที่สถานีโรงเรียนยุพราช 176.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ย้ำเตือนประชาชนป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังภายนอกอาคาร โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุไม่ควรทำกิจกรรมภายนอกอาคารเป็นเวลานาน