จากกรณีโจ๋หญิงยุคนี้ปรับรูปแบบการตลาดค้ากามมาเป็นแบบ “ขายตัวสายตรง” ด้วยการหันมาใช้อีเมล์ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เสนอขายบริการทางเพศ
หรือไม่ ก็นำภาพตัวเองไปลงไว้ในเว็บต่างๆ อาทิ “hi5” “mthai” โปรโมตเสนอขายตัวเองผ่านการส่งเมล์ต่อๆกัน หรือที่เรียกว่าการฟอร์เวิร์ดเมล์ โดยไม่ผ่านเอเย่นต์ หรือมาม่าซังแบบสมัยก่อนนั้น เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เกี่ยวข้องกับเยาวชนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและแนะแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว โดยนายธีระ สลักเพชร รมว. วัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จะส่งหนังสือ ด่วนที่สุด เพื่อประสานไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ต ในการติดตามเฝ้าระวังปัญหาเด็กนักศึกษาค้าประเวณีในเว็บไซต์ นอก จากนี้ จะขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางภาคสังคม เข้าร่วมประชุมเพื่อหามาตรการขับเคลื่อนการแก้ไขและขจัดปัญหาเยาวชนที่เกิดขึ้นขณะนี้
รัฐเต้นหาทางแก้วิกฤติ นศ.สาวขายตัวผ่านเน็ต
โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ ตนจะประสานในทางลับในการให้ ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาช่วยตรวจสอบสถานะของนักศึกษาอย่างเข้มข้นด้วย
“ผมมองว่าการที่เด็กและเยาวชนโดยเฉพาะที่เป็นนิสิต นักศึกษา หันมาขายตัวขายตรงทางเว็บไซต์นั้น เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาดูแล เพราะแสดงให้เห็นว่าสังคมกำลังอยู่ในภาวะอันตราย เด็กกำลังมีมุมมองค่านิยมการใช้ชีวิตแบบผิดๆ มีความฟุ้งเฟ้อ ชีวิตติดหล่มและลุ่มหลงในทุนนิยม ที่นำเงินไปใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือยในทางที่ไม่จำเป็นจึงทำให้มีการคิดทำอะไรสั้นๆ เพื่อให้ได้เงินมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนา ยังมีความอ่อนแอ ดังนั้นทุกหน่วยงานจะต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้สามารถ ใช้สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษา สามารถดึงเยาวชนให้กลับมาคืนสังคมที่ดีได้โดยเร็วที่สุด ที่สำคัญผมไม่อยากเห็นสังคมไทยมีเด็กหญิงที่กลายเป็นแม่อุ้มลูกตั้งแต่อายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของสังคมไทย” รมว.วัฒนธรรมกล่าว
ขณะที่ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วยังไม่อยากเชื่อว่าผู้ที่มาโฆษณาขายบริการทางเพศผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะไฮไฟว์ จะเป็นนักเรียน นักศึกษาจริง
เพราะอาจจะเป็นเพียงการโฆษณาเท่านั้นแต่ถ้าหากมีการตรวจสอบแล้วว่าเป็นนักเรียน นักศึกษาจริง ก็ต้องดูว่าสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งคิดว่าไม่ใช่เพราะว่าต้องการค่าเล่าเรียน เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สำนักงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพิ่มงบฯในการปล่อยกู้อีก 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายฐานผู้กู้เงิน กยศ. เพื่อช่วยค่าเล่าเรียนแก่นักเรียน นักศึกษาแล้ว ดังนั้น จึงน่าจะเกิดมาจากความฟุ่มเฟือยของตัวเด็ก รมช.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ดังนั้นต้องหาทางในการส่งเสริมเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กหาต้นแบบที่ดีให้กับเด็ก ซึ่งขณะนี้สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการเริ่มดำเนินการแล้วคือ การเพิ่มวิชาประวัติศาสตร์ และวิชาพระพุทธศาสนา เข้าไปในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโครงการคนพันธุ์อา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่จะคัดเลือกนักศึกษาอาชีวะที่ดี ทำงานเพื่อสังคม เพื่อมาเป็นต้นแบบให้กับนักศึกษาอาชีวะทั่วประเทศ
ส่วนนายสุธรรม นทีทอง เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า ในข่าวดังกล่าวระบุว่ามีการใส่ชุดนักศึกษาพร้อมติดเข็มของสถาบันอุดมศึกษาย่านหนองแขมและบางแค
โพสต์รูปมาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ ส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสถาบันอุดมศึกษาทั้งสองแห่งมีชื่อเสียงและเข้มงวดในระเบียบวินัยของนักศึกษาค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาทตนจะประสานไปยังผู้บริหารของสถาบันทั้งสองแห่งที่มีรูปของนักศึกษาตกเป็นข่าวให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าเป็นความจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าวหรือไม่ นายสุธรรมกล่าวต่อว่า หากเป็นความจริงตามที่เป็นข่าวก็จะขอให้ทางสถาบันดำเนินการตามวินัยของสถาบัน เพราะกรณีนี้ถือเป็นความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี แต่ถ้าพบว่าเป็นการแอบอ้างว่าเป็นนักศึกษาของสถาบัน ก็จะขอให้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นนักศึกษาของสถาบันนั้น เพราะเป็นการจงใจทำลายชื่อเสียง เอาเครื่องแบบของสถาบันนั้นมาจูงใจเพื่อหาลูกค้า
เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบุคคลทั่วไปยังสามารถที่จะติดต่อนัดหมายเพื่อไปกระทำการตามที่มีการโฆษณาในอินเตอร์เน็ตได้ก็คิดว่าจะสามารถตรวจสอบได้
และขอเรียกร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้มงวดเอาใจใส่ในการงานของตัวเองด้วย อย่าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเรื่องศีลธรรมจรรยาจนนำไปสู่การทำผิดกฎหมายอาญาถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา กระทรวงศึกษาธิการจะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อติดตามเฝ้าระวังและป้องปรามไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก และหากตรวจพบก็จะเร่งรีบประสานหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะเร่งดำเนินการแก้ไขให้รวดเร็วต่อไป
ด้านนายอมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า เรื่องการขายบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว และตนไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่ามีการใช้ไฮไฟว์เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขายบริการทางเพศ
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงสภาพสังคมไทยที่เดี๋ยวนี้วัยรุ่นมองเรื่องการเปลี่ยนคู่นอนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อีกทั้งยังเกิดมาจากค่านิยมที่ผิดๆ จากเดิมที่สงสัยว่าเด็กที่มาขายบริการจะมีฐานะยากจน แต่เมื่อสำรวจข้อมูลมาแล้วพบว่าเด็กที่มาขายบริการส่วนใหญ่จะไม่ยากจน แต่ที่มาขายบริการทางเพศเพราะต้องการเงินไปใช้ซื้อของมากกว่า สำหรับทางแก้ปัญหานั้นจะต้องแก้ ที่ต้นเหตุ ภาครัฐต้องส่งเสริมสร้างค่านิยมโดยนำวัยรุ่นที่มีความประพฤติดีมาเป็นต้นแบบ ขณะเดียวกัน ควรเร่งให้เกิดโครงการบัณฑิตอาสา ที่จะมีการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหางานให้ทำ สร้างรายได้ให้กับนักเรียน นักศึกษา และจะได้ไม่หันมาใช้วิธีขายบริการทางเพศเพื่อหาเงิน