นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยในงานสัมมนาหนุนธุรกิจไทย สู้ภัยวิกฤติโลกว่า
ปี 52 หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ 0.5% ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้ จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยลดเหลือเพียง 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวลดลง 10.3% จากปีที่แล้ว และอาจส่งผลต่อการจ้างงานให้ลดลง 300,000 คน
สาเหตุที่การส่งออกเอสเอ็มอีจะหดตัว เพราะตลาดคู่ค้าส่งออกหลักติดลบ 13.6% โดยเฉพาะสหรัฐที่คาดว่าจะหดตัวลง 19.8% ขณะที่ตลาดอื่นยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว หรือขยายตัวแค่ 7.7% นอกจากนี้เศรษฐกิจคู่ค้าอื่นยังหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยจีดีพีสหรัฐเติบโตเหลือ 1.5% อียู 0.8 และญี่ปุ่น 0.5% ส่วนเศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัวหรือขยายตัวเพียง 3.7%
สำหรับสินค้าส่งออกเอสเอ็มอีที่คาดว่าจะหดตัวมากที่สุด คือ
กลุ่มสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น กลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์จะหดตัว 13.8% กลุ่มพลังงานหดตัว 11.5% กลุ่มเคมีภัณฑ์หดตัว 10.3% ขณะที่สินค้ากลุ่มที่ใช้แรงงานจะหดตัวต่ำกว่ากลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสูง โดยกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะหดตัว 1.5% และกลุ่มอาหารหดตัวเพียง 1.2% เท่านั้น ดังนั้น เสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า
รัฐบาลเตรียมก่อตั้งกองทุนเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ปรับตัวรับมือปัญหาวิกฤติ รวมทั้งพัฒนาธุรกิจเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เพราะปัญหาที่เอสเอ็มอีร้องเรียนมากที่สุด คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก ทำให้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง เพราะยอดขายในประเทศและต่างประเทศชะลอตัว นอกจากนี้จะส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทยปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสม
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
ส่งออกเอสเอ็มอีไทยจะได้รับผลกระทบ ซึ่งการหวังพึ่งพาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศคงต้องน้อยลง และหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่รัฐบาลต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายปรับแผนตลาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์.
ปี 52 หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ 0.5% ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้ จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยลดเหลือเพียง 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวลดลง 10.3% จากปีที่แล้ว และอาจส่งผลต่อการจ้างงานให้ลดลง 300,000 คน
สาเหตุที่การส่งออกเอสเอ็มอีจะหดตัว เพราะตลาดคู่ค้าส่งออกหลักติดลบ 13.6% โดยเฉพาะสหรัฐที่คาดว่าจะหดตัวลง 19.8% ขณะที่ตลาดอื่นยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว หรือขยายตัวแค่ 7.7% นอกจากนี้เศรษฐกิจคู่ค้าอื่นยังหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยจีดีพีสหรัฐเติบโตเหลือ 1.5% อียู 0.8 และญี่ปุ่น 0.5% ส่วนเศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัวหรือขยายตัวเพียง 3.7%
สำหรับสินค้าส่งออกเอสเอ็มอีที่คาดว่าจะหดตัวมากที่สุด คือ
กลุ่มสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น กลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์จะหดตัว 13.8% กลุ่มพลังงานหดตัว 11.5% กลุ่มเคมีภัณฑ์หดตัว 10.3% ขณะที่สินค้ากลุ่มที่ใช้แรงงานจะหดตัวต่ำกว่ากลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสูง โดยกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะหดตัว 1.5% และกลุ่มอาหารหดตัวเพียง 1.2% เท่านั้น ดังนั้น เสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า
รัฐบาลเตรียมก่อตั้งกองทุนเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ปรับตัวรับมือปัญหาวิกฤติ รวมทั้งพัฒนาธุรกิจเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เพราะปัญหาที่เอสเอ็มอีร้องเรียนมากที่สุด คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก ทำให้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง เพราะยอดขายในประเทศและต่างประเทศชะลอตัว นอกจากนี้จะส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทยปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสม
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
ส่งออกเอสเอ็มอีไทยจะได้รับผลกระทบ ซึ่งการหวังพึ่งพาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศคงต้องน้อยลง และหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่รัฐบาลต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายปรับแผนตลาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์.
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
