นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน “เชื่อมั่น เชื่อมือ เชื่อถือ ไทยแลนด์” ว่า
รัฐบาลมั่นใจว่าปลายปี 52- ต้นปี 53 จะนำประเทศไทยพ้นจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยเข้าสู่ระบบอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงทุกฝ่ายร่วมกันประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1-2 ไม่ให้ติดลบมาก และเศรษฐกิจโลกไม่ผันผวนอีก เนื่องจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท ที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณากรอบวันที่ 28 ม.ค.นี้ จะช่วยสร้างรายได้ และลดรายจ่ายของประชาชนได้มากขณะเดียวกันมอบหมายให้ รมว. คลัง พิจารณาการกู้เงินจากต่างประเทศใช้ ในแผนสำรองในการ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะปานกลางและยาวเพื่อให้นโยบายดำเนินได้ ต่อเนื่อง
“ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยรับผล กระทบจาก 3 ปัญหาหลัก คือ วิกฤติการเงินของสหรัฐ, ปัญหาทางการเมืองเกี่ยวกับความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล และปัญหาทักษะฝีมือแรงงาน ที่ไม่ พร้อมในการรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากสภาให้ความเห็นชอบคาดว่าจะนำเงินมาใช้ในโครงการได้ช่วงเดือน ม.ค. และเมื่อ รวมกับมาตรการภาษีที่จะออกมาจะช่วยแบ่งเบาภาระหรือชดเชยให้กับภาคเอกชนก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น แต่ยอมรับว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกคงติดลบเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโลกอย่างหนัก ส่วนไตรมาสสองเริ่มดีขึ้น”
สำหรับการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องนั้นที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และรัฐบาลมีความขัดแย้งกันในด้านนโยบาย แต่ล่าสุดนโยบายเริ่มไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาต้นทุนของผู้ประกอบการและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ระดับหนึ่ง
นายสมมาต ขุนเศรษฐ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า
รัฐบาลควรเพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจจาก 1.1 แสนล้านบาทเป็น 3 แสนล้านบาท เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงมาก ซึ่งงบฯ อีก 2 แสนที่เหลือรัฐควรหาวิธีระดมอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในภาคเอกชนยังเชื่อว่ามีสภาพคล่องอีกมาก
สำหรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท รัฐบาลเน้นการเพิ่มกำลังซื้อและพัฒนาแรงงานเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลควรเน้นพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการจัดตั้งกองทุนในการช่วยเหลือผู้ส่งออกและผู้ประกอบการด้วย.
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
