บินไทยถังแตกเร่ขอกู้แบงก์ 3.5 หมื่นล.

การบินไทยวิกฤติหนักเงินสดขาดมือ 7 หมื่นล้าน วิ่งขอกู้แบงก์ด่วน 3.5 หมื่นล้าน ด้านคมนาคมตีกลับ ชี้แผนขอเงินไม่ชัดเจน เล็งโละบอร์ดยกชุด หวังฟื้นองค์กร รับปี 51 ขาดทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน  แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เรียกข้อมูลการดำเนินงานของบริษัท การบินไทยมาตรวจสอบแล้วพบว่ามีปัญหาฐานะการเงินอย่างหนัก ขาดกระแสเงินสดหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 7-8 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ส่วนผลประกอบการปี 51 ถือเป็นปีที่ขาดทุนมากที่สุดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยฝ่ายบริหารได้เสนอแผนขอสนับสนุนแหล่งเงินกู้จากรัฐบาล แต่ไม่ได้บอกว่าจะนำไปดำเนินการในส่วนใดบ้าง นอกจากนั้นฝ่ายบริหารยังทำแผนที่จะขอกู้เงินระยะยาวเพิ่มอีกประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยขอกู้จากธนาคารออมสิน 2 หมื่นล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 1 หมื่นล้านบาท และธนาคารอิสลามอีก  5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของออมสินและไทยพาณิชย์ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนของธนาคารอิสลามคาดว่าจะไม่มีปัญหา

 "สถานภาพการบินไทยตอนนี้อยู่ในอาการโคม่า หากปล่อยไว้เหมือนที่ผ่านมามีปัญหาแน่นอน จึงคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนฝ่ายบริหารและคณะกรรมการการบินไทยทั้งหมด" แหล่งข่าวกล่าวและว่า ขณะนี้นายโสภณอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ที่จะเข้าไปเป็นกรรมการการบินไทย ส่วนฝ่ายบริหารการบินไทยอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายหลายตำแหน่ง

 สำหรับปัญหาของการบินไทยนอกจากมีปัญหาฝ่ายบริหารแล้ว ระยะหลังยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และจากความวุ่นวายในประเทศส่งผลให้ผู้โดยสารและรายได้ลดลงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง จึงจำเป็นต้องกู้เงินมาชดเชย รวมทั้งกู้เงินเพื่อชำระค่าเครื่องบิน
  ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปี 2551 การบินไทยได้เจรจาขอกู้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง แบ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารออมสิน 4,000 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย 4,000 ล้านบาท และอิสลามแบงก์  2,500 ล้านบาท  ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดดอกเบี้ย 1 ปี และได้ทยอยเบิกเงินกู้ไปบ้างแล้ว และในปี 2552 การบินไทยยังมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระอีก 1.4 หมื่นล้านบาท ทำให้ต้องเจรจาขอกู้เงินเพิ่มรวมถึงกู้เงินมาใช้เป็นเงินหมุนเวียนอีกกว่า 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าการบินไทยต้องกู้เงินทั้งหมดกว่า 7 หมื่นล้านบาท  กระทรวงการคลังจะต้องค้ำประกันเงินกู้ให้