นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางว่า ที่ประชุมได้อนุมัติปรับลด ราคาค่าโดยสารตั้งแต่ 3 สตางค์-1 บาท
เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรถโดยสารธรรมดาปรับลดลง 50 สตางค์ โดยรถเมล์ขาว-น้ำเงิน จาก 8.50 บาท เหลือ 8 บาท รถเมล์ครีม-แดง จาก 7.50 บาท เหลือ 7 บาท รถมินิบัสจาก 7 บาท เหลือ 6.50 บาท รถสองแถว จาก 6 บาท เหลือ 5.50 บาท ส่วนรถโดยสารปรับอากาศ อนุมัติให้ปรับลดลงช่วงละ 1 บาท
สำหรับรถโดยสาร ปอ. ครีมน้ำเงินจากไม่เกิน 12-20 บาท เหลือ11-19 บาท รถโดยสาร ปอ. ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.)
จาก 10-18 บาท เหลือ 9-17 บาท ขณะที่รถโดยสาร ปอ.ยูโร และยูโรทู จากไม่เกิน 13-25 บาท เหลือ 12-24 บาท ส่วนรถโดยสารประจำทาง (รถ บขส. และรถร่วม บขส.) อนุมัติให้ปรับลดราคา กม.ละ 3 สตางค์ โดย ทั้งหมดให้มีผลวันที่ 22 ธ.ค. นี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนที่เตรียมเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่
ขณะที่นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2552 ปตท.จะปรับราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีเป็น กก.ละ 11 บาท จากปัจจุบัน กก.ละ 8.50 บาท
เนื่องจากต้นทุนการจำหน่ายเอ็นจีวีอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งตามต้นทุนที่แท้จริงควรจะอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 14.50 บาท โดย ปตท.มีปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด สำหรับการจำหน่ายเอ็นจีวีโดยปีนี้รับภาระขาดทุน 3,700 ล้านบาท ปี 2550 ขาดทุน 1,900 ล้านบาท และปี 2549 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันลดต่ำลงมากทำให้ความต้องการใช้เอ็นจีวีทดแทนน้ำมันลดลง ปตท.จึงอยู่ระหว่างการทบทวนแผนลงทุนทั้งหมด โดยเฉพาะแผนการก่อสร้างท่อก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่เดิม ปตท.คงต้องชะลอออกไปก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่จะขึ้นราคาเอ็นจีวีหรือไม่กระทรวงพลังงาน ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงานเป็นประธานพิจารณาชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง.