รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า
กรมส่งเสริมการส่งออกจะเสนอเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยปี 52 อย่างเป็นทางการให้ นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ รับทราบวันที่ 15 ธ.ค. นี้ คาดว่าจะกำหนดตัวเลขส่งออกปีหน้าขยายตัว 5% ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่กระทรวงพาณิชย์เคยประเมินไว้ช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ว่าการส่งออกปีหน้าจะขยายตัว 10% โดยตัวเลขนี้มาจากการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการหารือกับภาคเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการประเมินของหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ทูตพาณิชย์ประเมิน ใหม่ช่วงปลายเดือน พ.ย. ได้ลดเป้าการขยายตัวส่งออกรายตลาด
โดยเฉพาะตลาดหลัก เมื่อเทียบกับการประเมินช่วงเดือน ต.ค. โดยตลาดสหรัฐ ปรับลดเป้าเหลือ 2% จากเดิม 4% ญี่ปุ่น 3% เดิม 5% สหภาพยุโรป 4% เดิม 5% อาเซียน 5% เดิม 10% ส่วนตลาดใหม่ ฮ่องกง คงเป้าเดิม 8% ไต้หวัน คงเป้าเดิม 3.5% แคนาดา คงเป้าเดิม 5% ที่เหลือ เช่น เกาหลีใต้ ลดเป้าเหลือ 5% จากเดิม 12% ตะวันออกกลาง 18% เดิม 17.7% แอฟริกา 17% เดิม 20% ลาตินอเมริกา 16% เดิม 20% ยุโรปตะวันออก 20% เดิม 25% เอเชียใต้ 20% เดิม 25% จีน 15% เดิม 17%
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า
จะเสนอเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยปีหน้าให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์รับทราบอย่างเป็นทางการ หลังจากหารือกับผู้ประกอบการสินค้าภาคเกษตรและอุตสาห กรรม รวมทั้งสอบถามความเห็นจากทูตพาณิชย์แล้ว คาดว่าการส่งออกปีหน้าจะยังขยายตัวอยู่ เพราะจากการหารือกับภาคเอกชน ส่วนใหญ่มองว่าจะส่งออกได้มากขึ้น เช่น ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ของขวัญของชำร่วย แฟชั่น สิ่งทอ เสื้อผ้า อัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น 3-5% ส่วนสินค้าหมวดอาหาร ปริมาณส่งออกไม่น่าลดลง แต่ราคาอาจลดลงบ้าง แต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มยานยนต์ น่าเป็นห่วงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำมาตร การเฉพาะหน้า
ช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องตึงตัว เพราะห่วงว่าไตรมาส 1 และ 2 สถาบันการเงินจะเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยมีแผนหารือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ให้มาช่วยเหลือ และเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วน รวมทั้งสนับสนุนการส่งออกธุรกิจบริการมากขึ้น เพราะจากการหารือกับผู้ประกอบการ เห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง คาดว่าปี 52 จะทำรายได้เข้าประเทศได้ 895,000 ล้านบาท จากธุรกิจก่อสร้าง ซอฟต์แวร์ ดิจิทัล คอนเทนต์ สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ท่องเที่ยว ร้านอาหารไทย และโรงพยาบาลเอกชน เป็นต้น.