หุ้นสหรัฐฯพากันดิ่งลงหลังมีประกาศอย่างเป็นทางการว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
(2ธ.ค.) ตลาดหุ้นวอลสตรีทของสหรัฐฯตกฮวบอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากคณะกรรมการกำหนดวงรอบธุรกิจ ของสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือ NBER ซึ่งเป็นกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ แถลงยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มถดถอยมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2550 รวมทั้งมีสัญญานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในขาลงอีกยาวนาน ขณะที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะต้องลดดอกเบี้ยลงอีก หลังจากได้ตัดลดดอกเบี้ยมาก่อนหน้านี้ร้อยละ 1
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเฉลี่ย 679.95จุด ( 7.7 %) ปิดที่ 8,149.09. จุด ส่วน"สแตนดาร์ดแอนด์ พัวร์ 'ส 500 iลดลง 80.93 จุด ( 8.93 %) ปิดที่ 816.21 จุด และ"แนสแดค" ร่วงลง 137.50 จุด ( 8.95 %) ปิดที่ 1,398.07จุด ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ ตกลงต่ำสุดนับจากปี 2525 โดยดัชนีของสถาบันจัดการสินค้า (The Institute for Supply Management's index) ลดลงเหลือ 36.2 จุดในเดือนตุลาคม ซึ่งตัวเลขต่ำกว่า 50 จุด บ่งชี้ถึงการหดตัว
ตลาดหุ้นเริ่มร่วงลงตั้งแต่มีรายงานว่า
แม้การจับจ่ายซื้อของประจำปี ในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จะดีกว่าผู้ค้าปลีกและนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ก็ขึ้นๆลงๆ บ่งชี้ถึงความรีรอที่จะใช้เงินของชาวอเมริกัน ในยามที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา ตัวเลขขั้นต้นที่เปิด
เผยโดยบริษัทวิจัย ShopperTrak RCT ซึ่งติดตามยอดขายปลีกของร้านค้าปลีกมากกว่า50,000 แห่ง พบว่า
ยอดขายสินค้าในช่วงเทศกาลนี้ กระเตื้องขึ้นเพียงไม่มาก สร้างความวิตกให้นักลงทุนว่าจะไม่เพียงเป็นปัญหาสำหรับผู้ค้าปลีก แต่ยังเป็นปัญหาสำหรับเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพิงผู้บริโภคมากกว่า 2 ใน 3 ของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวด้วยว่า
ทุกคนทราบดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย แต่ที่ไม่ทราบคือเป็นปัญหาตื้นๆที่เกิดเพียงในช่วงเวลาสั้นๆ หรือเป็นปัญหารุนแรงที่จะเกิดต่อเนื่องยาวนาน