นักธุรกิจชี้การเมืองปัจจัยเสี่ยงหลักซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย
เตือนคุมหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำ ปีหน้าอาจเลวร้ายกว่าปีนี้ หากการเมืองยังปะทุต่อ บล.ภัทรคาดจีดีพีขยายตัวแค่ 3.3% กระทรวงแรงงานงัดมาตรการตั้งรับแรงงานตกงาน 3 ระดับ
นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า
ปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่งในปี 2552 ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรจะต้องขึ้นอยู่กับภาคการเมืองเป็นหลัก หากปัญหาได้ข้อยุติและสงบลงได้ จะสามารถนำพาเศรษฐกิจให้มีการลงทุนต่อไปได้ เนื่องจากเมื่อนโยบายภาครัฐไม่ชัดเจนทำให้คนลงทุนต้องคิดหนัก การขอสินเชื่อลูกค้าก็กลัวต้องเสียดอกเบี้ย ในส่วนภาคธุรกิจจำเป็นต้องรักษาสัดส่วนหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำ หรือมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ควรสูงกว่า 1 ต่อ 3
“ปีหน้าคงไม่ใช่ปีที่ดี อาจจะเหมือนปีนี้ หรือเลวร้ายกว่าปีนี้ด้วย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ปรับตัวดีขึ้นมาแค่ 2 สัปดาห์ ยังไม่เท่ากับที่เคยตกไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น ภาคการเมืองต้องสงบและมีนโยบายที่ชัดเจนได้ ส่วนปัญหาวิกฤติการเงินโลกครั้งนี้คงไม่ถึงเรา สภาพคล่องของไทยก็ยังไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาคือการเมืองภายในมากกว่า” นายชาตรีกล่าว
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในงานเสวนาสมาคม หัวข้อ “มองวิกฤติ...เพื่อโอกาส” จัดโดยสมาคมนักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ว่า
เศรษฐกิจไทยในปีหน้าน่าจะเติบโตประมาณ 4% ผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมจะมีความลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งที่เป็นห่วงคือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เนื่องจากมีปัญหาการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ที่จะมีการตรวจสอบมากขึ้น อาจจะต้องปิดกิจการ
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บล.ภัทร จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า
มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2552 น่าจะขยายตัว 3.3% ประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะความแตกแยกของสังคม หากยังไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ก็จะยิ่งฉุดเศรษฐกิจไทยให้ลดลง ส่วนเศรษฐกิจโลกจะก้าวสู่ช่วงถดถอย