ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 พ.ย.) ว่า
ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้เริ่มกลับมาซื้อขายอย่างคึกคักจนดันดัชนีหุ้นพุ่งนับตั้งแต่ เปิดตลาด กระทั่งปิดตลาดสูงสุดที่ 449.19 จุดเพิ่มขึ้น 32.66 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายทะลักกว่า 17,000 ล้านบาท และเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกในวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ประกอบกับเห็นว่าดัชนีหุ้นได้ตกลงไปมากกว่า 30% แล้วในช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งส่วนหนึ่งยังขานรับมาตรการของตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต.ที่จะเปิดให้บริษัทจดทะเบียนซื้อหุ้นคืนอีกด้วย
เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ขณะนี้การบินไทยอยู่ระหว่างการศึกษา ประเด็นข้อกฎหมายและข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเรื่องการซื้อคืนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะในปัจจุบันราคาหุ้นการบินไทยต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งการบินไทยต้องการซื้อคืน หุ้นในปริมาณสูงสุดเท่าที่จะดำเนินการได้ และมีความพร้อมทางการเงิน อีกทั้งสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดีไม่มีปัญหาในการซื้อคืนหุ้น
นอกจากนั้น การบินไทยยังมีแผนปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมน้ำมัน หรือ FUEL SURCHARGE ที่เรียกเก็บจากผู้โดยสาร ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง โดยคาดว่าจะปรับลดค่าธรรมเนียมได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดในแต่ละเส้นทาง โดยในเบื้องต้นคาดว่าค่าธรรมเนียมจะลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 10%
อย่างไรก็ตาม คาดว่า
ในปีหน้าธุรกิจการบินจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ รวมทั้งผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยบางสายการบินอาจต้องลดจำนวนพนักงานหรือขายกิจการ แต่ในส่วนของการบินไทยไม่ถึงขั้นต้องลดจำนวนพนักงาน โดยการบินไทยได้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว โดยจะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่างๆ เช่น การปลดระวางเครื่องบินเก่าให้เร็วขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รวมทั้งยกเลิกเที่ยวบินที่ปริมาณผู้โดยสารน้อยและให้ผลตอบแทนต่ำ โดยเส้นทางบินที่อยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิกทำการบินคือ กรุงเทพ-โจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งปัจจุบันให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 2 ของช่วง HIGH-SEASONSแต่ปริมาณผู้โดยสารยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก
โดยเฉพาะผู้โดยสารในเส้นทางบินภูมิภาค เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งมีความอ่อนไหวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย แม้ที่ผ่านมาการบินไทยจะให้ผู้จัดการสถานีประจำประเทศเหล่านี้ทำความเข้าใจกับเอเย่นต์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าปัญหาการเมืองในประเทศจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่ปริมาณผู้โดยสารก็ยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
ทั้งนี้ วิกฤติการเงินในสหรัฐฯยังส่งผลกระทบต่อแผนการขายเครื่องบินแอร์บัสเอ 340-500 จำนวน 4 ลำ เพราะสายการบินต่างๆชะลอแผนลงทุน
อย่างไรก็ตาม การบินไทยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2552 จะมีรายได้รวมประมาณ 2.3 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ประมาณ 10% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงกรอบที่ตั้งไว้ และอาจต้องทบทวนใหม่หากสถานการณ์ต่างๆมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวม 2.1 แสนล้านบาท แต่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่เงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลง.