นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า
ในช่วงที่ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนและปรับลดลงนั้น จากการติดตามของ ธปท. พบว่ากระทบต่อเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพียง 0.25% เท่านั้น ซึ่งยังไม่กระทบต่อฐานะของธนาคารพาณิชย์ เพราะหากเทียบกับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานของบีไอเอสทั้งระบบของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกันยายน เฉลี่ยอยู่ที่ 15.6% สูงกว่าเกณฑ์ ที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ 8.5%
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วงคือ
ปีหน้าผลจากวิกฤติสถาบันการเงินโลก ส่งผลต่อลูกค้ารายใหญ่ที่อาจพึ่งกู้เงินจากต่างประเทศได้ยาก ทำให้ต้องกลับมาพึ่งเงินกู้ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อลูกหนี้รายย่อยที่ต้องการสินเชื่อ เนื่องจากลูกหนี้รายใหญ่เป็นลูกหนี้ที่มีศักยภาพที่ธนาคารพาณิชย์ต้องการปล่อยกู้
ขณะที่ลูกหนี้รายย่อยถูกมองว่ามีความเสี่ยง ทำให้ขอสินเชื่อจากแบงก์ได้ลำบาก ซึ่งเรื่องนี้ ธปท.ติดตามอยู่ “การที่รัฐมีนโยบายให้ ธปท.เข้าไปดูแลการปล่อยสินเชื่อให้กระจายตัวมากขึ้น จากกระแสข่าวที่ออกมาว่า
แบงก์พาณิชย์ ไม่ปล่อยกู้นั้นเป็นเรื่องปกติ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลออาจทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวัง แต่เท่าที่ดูข้อมูลความสามารถในการปล่อยกู้ของแบงก์ยังมี จะเห็นได้จากเงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์มีมากถึง 15% เศษ ถือว่ายังพอขยายสินเชื่อ ซึ่งหากมีความต้องการสินเชื่อจริง แบงก์ยังปล่อยสินเชื่อได้ ทั้งนี้ จะเห็นว่าที่ผ่านมาการขยายตัวของสินเชื่อตัวเลขล่าสุดเดือนกันยายน สินเชื่อขยายตัวถึง 10.87% ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ภาคธุรกิจใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินทุนเพื่อการลงทุน รวมทั้งสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ยังขยายตัวดี