กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ"ขุนคลัง"เดินหน้าเพิ่มงบประมาณอีก 1 แสนล้าน ดันเพิ่มรายได้ให้ประชาชน-เพิ่มทุนแบงก์รัฐให้ปล่อยสินเชื่อ ชี้ปลายปีอัดฉีดเงินอีก 9,500 ล้านบาทให้เอสเอ็มแอลเพิ่มโอกาสให้รากหญ้าเข้มแข็งก่อนลดภาษีนิติบุคคลอุ้มเอกชน แฉส่วนราชการหงอไม่กล้าตัดสินใจ กลัวถูกตรวจสอบทำโครงการเมกะโปรเจคท์สะดุด
เกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน กรณีต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายขาดทุนย่อยยับถึงกับต้องปิดกิจการ ปล่อยลอยแพพนักงาน ทั้งนี้กรมการจัดหางานกระทรวงแรงงาน ต้องออก 6 มาตรการแก้ไขปัญหา และช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนจากพิษเศรษฐกิจ เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 2 พ.ย. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว. คลัง กล่าวในรายการ “รัฐบาลของประชาชน” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เป็นครั้งที่ 2 ในหัวข้อนโยบายการคลังของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนว่า รัฐบาลกำลังจัดทำรายละเอียดในการเพิ่มงบประมาณกลางปีอีก 1 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
โดยเน้นที่การทำให้ประชาชนในชนบทมีรายได้ มีฐานะ ลดรายจ่าย มีโอกาสมากขึ้น และส่วน หนึ่งอาจนำไปเพิ่มทุนให้กับธนาคารของรัฐ เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนนำไปใช้ต่อยอดในโครงการต่าง ๆ เช่น เอสเอ็มแอล โดยยืนยันว่ายังไม่สรุปว่าจะนำเงินไปใช้อัดฉีดรากหญ้าผ่านโครงการกองทุนหมู่บ้านฯ เอสเอ็มแอล และโอทอปทั้งหมด แต่จะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบก่อน
รมว.คลัง กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ รัฐบาลจะอัดฉีดเงินกว่า 9,500 ล้านบาท ผ่านโครงการเอสเอ็มแอล เพื่อให้คนในชนบทนำไปพัฒนาชุมชนของตัวเอง ส่วนต้นปี 2552 จะมีเงินอีกก้อนหนึ่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับชนบทมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยดูแลให้เขามีโอกาสสร้างรายได้แล้วประเทศก็จะพัฒนาตามมาได้ เมื่อชนบทมีรายได้มากขึ้นก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้น
สามารถนำมาจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น รัฐบาลจะพิจารณาปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ที่มีอัตราภาษีเพียง 20% หรือฮ่องกงที่มีอัตรา 15%
ส่วนการลงทุนของรัฐบาลในโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจคท์ ที่ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมา เพราะส่วนราชการกลัวการตรวจสอบมาก ทำให้โครงการไม่เดินหน้า ตนรู้สึกกังวลว่าถ้าตรวจสอบลึกโดยไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนจะทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้ช้า
เติบโตเพียงปีละ 3-4% เหมือนประเทศเพื่อนบ้านในสมัยก่อน โดยต้องการให้ทุกฝ่ายนำข้อดีของแต่ละคนมาพิจารณามากกว่าข้อเสีย ไม่เช่นนั้นประเทศก็ไม่สามารถพัฒนาได้ ขณะที่คนอื่นเดินไปข้างหน้า เมื่อวันหนึ่งนึกขึ้นได้แล้ว 50 ปี ให้หลังมาถามหาเหตุผลก็คงไม่มีประโยชน์.