คนไทยแห่เติมน้ำมันช่วงราคาถูก

นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ

ส่งผลราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง มีผลต่อราคาน้ำมันขายปลีกในไทยลดลงตามไปด้วย ส่งให้ยอดใช้น้ำมันของคนไทยในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3-5% อย่างไรก็ตาม ยอดการใช้น้ำมันในช่วง 10 เดือนของปีนี้ ยังคงปรับตัวลดลง 5-5.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดว่ายอดใช้น้ำมันทั้งประเทศน่าจะขยายตัวลดลง 2.5-3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
 “น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสที่ปรับตัวสูงเฉลี่ยกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงต้นปีทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง ทำให้ ประชาชนประหยัดและหนีไปใช้พลังงานอื่นๆ แทน เช่น ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) แต่เมื่อรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกลดลงทันที ผสมกับการเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐฯทำให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสล่าสุดปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 70 เหรียญฯเท่านั้น ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศก็ลดลงตามไปด้วย”  นายยอดพจน์กล่าวว่า ในปี 2552 การขยายปั๊มน้ำมันของไทย น่าจะชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจที่ซบเซา

เพราะปั๊มแต่ละแห่งต้องใช้เงินลงทุนหลายล้านบาท แต่ค่าการตลาดต่ำ ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการลงทุน ซึ่งจะเห็นว่าปั๊มที่สร้างใหม่ของทุกบริษัทในปีหน้าน้อยมาก แต่ผู้ค้าน้ำมันจะหันไปปรับปรุงปั๊มที่มีอยู่ และเน้นให้บริการลูกค้าและธุรกิจเสริม เช่น ล้างรถ มินิมาร์ท มาทดแทนรายได้จากการขายน้ำมัน เช่นเดียวกันบางจากที่กำลังทบทวนแผนการลงทุนปี 2552 ที่เตรียมลงทุนไว้ 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ  ด้านนายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตร-เลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดใช้แอลพีจีภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง ก.ย.-ต.ค. เฉลี่ยลดลง 5-10% ดังนั้นจังหวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง รัฐบาลควรจะใช้โอกาสนี้แยกโครงสร้างราคาแอลพีจีระหว่างภาคครัวเรือนออกจากภาคขนส่ง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลลดลงมาอยู่ที่ 23.94 บาท/ลิตรนั้น อาจทำให้ผู้ค้าไม่ปรับขึ้นราคาค่าขนส่ง ซึ่งทุกฝ่ายกำลังติดตามราคาน้ำมันดีเซลอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป.