สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การอภิปรายหรือดีเบตรอบที่ 3 ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายระหว่างนายจอห์น แมคเคน
ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน วัย 72 ปี และนายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต วัย 47 ปี ที่มหาวิทยาลัยฮอฟสตรา รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ
เมื่อค่ำวันที่ 15 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 16 ตุลาคมตามเวลาในไทย การดีเบตดำเนินไปอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนมากกว่าสองนัดที่ผ่านมา โดยคู่ดีเบตทั้งสองยังคงโจมตีและชิงจังหวะกันเพื่อทำคะแนนในนโยบายด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และการประกันสุขภาพ
ดีเบตครั้งนี้กินเวลาราว 90 นาที มีนายบ๊อบ ชิฟเฟอร์ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย ดูเหมือนว่าครั้งนี้แมคเคนจะมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นกว่าการดีเบตครั้งก่อนๆ โดยเขารุกโจมตีโอบามาด้วยการจี้ให้อธิบายถึงความสัมพันธ์ที่โอบามามีกับวิลเลียม เอเยอร์ส นักเคลื่อนไหวหัวรุนแรงจากกลุ่ม "เวธเธอร์ อันเดอร์กราวน์" ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งพัวพันกับเหตุโจมตีกระทรวงกลาโหมและรัฐสภาสหรัฐในช่วงทศวรรษ 1970
โอบามาได้โต้กลับว่า นายเอเยอร์สซึ่งเคยทำงานร่วมกันเมื่อครั้งเป็นกรรมการกองทุนการกุศลแห่งหนึ่งนั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการรณรงค์หาเสียงของตน และเอเยอร์สก็ไม่เคยให้คำแนะนำใดๆ กับตนในการเดินสู่ทำเนียบขาว
ในประเด็นเศรษฐกิจและนโยบายด้านภาษี คู่ดีเบตต่างอธิบายถึงแนวทางการดำเนินนโยบายที่พวกเขาได้รับปากไว้ว่าจะทำอย่างไร แมคเคนกล่าวว่า
เขาจะทำให้งบประมาณของสหรัฐสมดุลให้ได้ โดยการปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และยังโจมตีนโยบายภาษีของโอบามาที่แมคเคนกล่าวอ้างว่ามีแผนจัดเก็บภาษีเพิ่มต่อผู้มีรายได้สูง
โดยการหยิบยกกรณีที่เรียกว่า "โจ เดอะ พลัมเบอร์" เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กรายหนึ่งในรัฐโอไฮโอที่ได้พบปะกับโอบามาเมื่อสัปดาห์ก่อน และแสดงความห่วงกังวลต่อแผนของโอบามาที่จะเก็บภาษีเพิ่มต่อผู้ที่มีรายได้มากกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีขึ้นไป ซึ่งจะกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยของประเทศ
อย่างไรก็ดี โอบามาโต้กลับว่า แผนการของเขาจะลดภาษีให้แก่ชาวอเมริกันมากถึงร้อยละ 95 และจะเก็บภาษีเพิ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้นกับชาวอเมริกันผู้มีรายได้สูง "เราต่างฝ่ายต่างต้องการลดภาษี แต่ความแตกต่างอยู่ที่เราต้องการลดภาษีให้แก่คนกลุ่มไหน" โอบามากล่าว
ช่วงหนึ่งที่การอภิปรายทวีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อโอบามายังคงมุ่งโยงแมคเคนเข้ากับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นผลให้แมคเคนหันกลับมาเผชิญหน้ากับโอบามา และพูดว่า
"ผมไม่ใช่ประธานาธิบดีบุช หากคุณต้องการที่จะแข่งขันกับประธานาธิบดีบุช คนก็ควรจะลงแข่งเมื่อ 4 ปีก่อน ผมกำลังจะให้ทิศทางใหม่แก่ระบบเศรษฐกิจและแนวทางของประเทศนี้" แมคเคนกล่าว
ผู้ดำเนินรายการยังตั้งคำถามให้คู่ดีเบตทั้งสองให้เหตุผลว่าเหตุใดคู่หูของตนสามารถเป็นรองประธานาธิบดีได้ดีกว่าคู่หูของอีกฝ่าย
ประเด็นนี้ โอบามาให้เครดิตวุฒิสมาชิก โจ ไบเดน คู่หูของตนว่า
เป็นผู้รับใช้ประเทศชาติที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เขามีแบบแผนที่มั่นคงในการต่อสู้เพื่อคนตัวเล็กๆ นั่นเป็นสิ่งที่เขาจะทำเมื่อพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจในการช่วยให้สถาบันครอบครัวยืนหยัดขึ้นมาได้
ส่วนแมคเคนชื่นชมนางซาราห์ เพลิน ผู้ว่าการรัฐอลาสกา คู่หูของตนเองว่า
เป็นต้นแบบของผู้หญิงและนักปฏิรูปทั่วอเมริกา
คู่ดีเบตยังโจมตีกันและกันในประเด็นการหาเสียง ซึ่งแมคเคนกล่าวหาโอบามาว่า
ใช้งบประมาณในการโฆษณาหาเสียงมากกว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดๆ ในประวัติศาสตร์สหรัฐ ส่วนโอบามาตอกกลับว่า โฆษณาหาเสียงของแมคเคนร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นล้วนแต่เป็นไปในเชิงลบทั้งสิ้น