6 มาตรการรับวิกฤติการเงินโลก

"สมชาย"พร้อมทีม รมว.เศรษฐกิจ

ถกมาตรการรับมือวิกฤติการเงินโลกเข็น 6 มาตรการกอบกู้เศรษฐกิจเตรียมอัดฉีดงบ 1.2 ล้านล้านเข้าระบบปีหน้า หวังประคองเศรษฐกิจ ปี 52 ให้โตอย่างน้อย 4% ขณะที่ “โอฬาร” ไล่บี้ทุกหน่วยงานทำงานให้ได้ตามเป้าหมายทุกเดือน ลั่นล้มเหลว ไขก๊อกออกทันที

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว ท่าอากาศยานดอนเมือง เปิดเผยว่า
 
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐ มนตรี ได้เรียกประชุมด่วนรัฐมนตรีกระทรวง เศรษฐกิจ พร้อมด้วยผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหามาตรการรองรับเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐ ใช้เวลาหารือกว่า 3 ชั่วโมง โดยนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้กำหนด 6 มาตรการเพื่อรองรับวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้น พร้อมกำหนดเป้าหมายให้แต่ละหน่วยงานดำเนินการเพื่อให้มีจำนวนเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 52 ให้ได้อย่างน้อย 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้อย่างน้อยปีละ 4% โดยจะติดตามผลการดำเนินงานทุกเดือน หากทำไม่สำเร็จก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะตนเองในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็ขอลาออกทันที แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วย เพราะหากการเมืองสะดุดก็ทำให้ทุกอย่างชะงักตามไปด้วย

นายโอฬาร กล่าวต่อว่า
 
ทั้งนี้ทั้ง 6 มาตรการจะเป็นทั้งเชิงรุกและรับ รวมทั้งเป็นสินเชื่อที่อัดฉีดเข้าระบบ เงินงบประมาณของรัฐและเป็นรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว ประกอบด้วย

1.มาตรการตลาดทุน ทั้งการเตรียมสภาพคล่องรองรับการขายหุ้นของต่างชาติ

2. การกระตุ้นให้จัดตั้งกองทุนร่วมทุนหรือแมทชิ่งฟันด์ และเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกองทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ เพื่อกระตุ้นให้ซื้อหุ้นไทย รวมเป็นเงินกว่า 1.1 แสนล้านบาท

3.การจัดหา สภาพคล่องให้เพียงพอและให้ถึงมือประชาชนโดยให้ธปท.ขอความร่วมมือสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ 4 แสนล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 5%

4.สถาบันการเงินของรัฐต้องปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% รวมเป็น 4.5 แสนล้านบาท

5.กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องรวมกันเป็นทีมไทยแลนด์เพื่อออกไปโรดโชว์ขยายตลาดใหม่ทั้งในตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา อเมริกา รวมทั้งมีสินเชื่อเพื่อการส่งออกและรองรับการค้าในประเทศและสินเชื่อธุรกิจเพื่อเอสเอ็มอี โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ อัญมณี เครื่องประดับ เป็นต้น ซึ่งจะสร้างรายได้โดยรวม 3.6 แสนล้านบาท

6.การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณผ่านส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 1.8 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 52 เพื่อให้ถึงมือประชาชน โดยให้เบิกจ่ายให้มากที่สุดภายในครึ่งปีแรก โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดโครงการเมกะโปรเจคท์ โดยเฉพาะในโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ระบบขนส่งทั่วประเทศ รวมถึงการลงทุนด้านพลังงาน รวมเป็นเงินเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาทจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 2.5 แสนล้านบาท รวมทั้งจะเร่งหารือกับประเทศเอเชียเพื่อสร้างชุมชนทางการเงินแห่งเอเชีย ให้เป็นศูนย์กลางการเงินของโลกแทนสหรัฐและยุโรป

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า

ขณะนี้รัฐบาลและธนาคารกลางของสหรัฐและยุโรปได้เร่งเพิ่มเงินเพื่ออุ้มธนาคารขนาดใหญ่ที่กำลังมีปัญหา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนโดยจะไม่มีธนาคารขนาดใหญ่ปิดกิจการอีก น่าจะส่งผ่านมายังภาคธุรกิจในประเทศเอเชีย ซึ่งดูเหมือนว่าเหตุการณ์กำลังคลี่คลาย แต่รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต จึงต้องเตรียมมาตรการรองรับล่วงหน้าไว้ก่อน รวมทั้งต้องติดตามสถานการณ์ราคาหุ้นของธนาคารของสหรัฐและยุโรปที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วว่าดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นนั่นหมายความว่าเหตุการณ์กำลังเลวร้ายลงอีก

ด้าน นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า

ธปท.ยืนยันสภาพคล่องในระบบเพียงพอรอง รับการขยายตัวเศรษฐกิจ และพร้อมที่อัดฉีดเงินเข้าระบบหากมีปัญหาสภาพคล่อง ส่วนการขยายตัวสินเชื่อยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนส.ค.ที่ผ่านมาขยายตัว 11%.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์