เอพีรายงานว่า เมื่อ 10 ต.ค. การซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนส่งท้ายสัปดาห์ ตามกระแสหวาดผวาว่าสถานการณ์เศรษฐกิจมาถึงขอบเหวของภาวะถดถอยแล้ว
และวิกฤตการณ์สินเชื่ออยู่นอกเหนือการควบคุม โดยที่แผนกู้วิกฤตการเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ หรือการที่ธนาคารกลางชาติต่างๆ นัดกันลดดอกเบี้ยโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่อาจจะระงับภาวะตื่นตระหนกตลอดสัปดาห์นี้ได้
หลังจากตลาดหุ้นวอลสตรีตของสหรัฐดิ่งเป็นรอบที่ 7 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงไปอีก 7.33%
และอยู่ในระดับต่ำกว่า 9,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ตลาดเอเชียดัชนีซื้อขายในวันศุกร์ร่วงกราวรูด นำโดยญี่ปุ่นดิ่งกว่าร้อยละ 9.6 เป็นผลมาจากบริษัทประกันยามาโตะ ไลฟ์ ล้มละลาย นายทาโร่ อาโสะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เตือนว่า สถานการณ์ตอนนี้มาถึงจุดที่กระทบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ด้านฮ่องกงดิ่งลงร้อยละ 7.2 และถือเป็นภาวะดิ่งไปแล้วร้อยละ 47
นับจากต้นปีนี้ ที่ฟิลิปปินส์ดิ่งลงมากกว่าร้อยละ 8 เป็นภาวะย่ำแย่ที่สุดนับจากวิกฤตเศรษฐกิจพิษต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ส่วนของไทยดิ่งลงไปมากกว่าร้อยละ 10 จนต้องพักการซื้อขายชั่วคราว เมื่อเปิดใหม่ระดับการดิ่งอยู่ที่ร้อยละ 9.6 จีนดิ่งลงร้อยละ 3.57 เกาหลีใต้ดิ่งร้อยละ 4.1 สิงคโปร์ดิ่งลงร้อยละ 7.34
สำหรับการซื้อขายในยุโรปเปิดตลาดด้วยบรรยา กาศปั่นป่วนเช่นกัน ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกดิ่งลงไปถึงระดับ 86.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่ตลาดนิวยอร์ก และ 82.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่ตลาดลอนดอน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ 6 ต.ค. เกิดภาวะหุ้นดิ่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย ยุโรป และวอลสตรีตของสหรัฐด้วยภาวะหวาดผวาภาวะเศรษฐกิจ โดยนักลงทุนไม่เชื่อมั่นในแผนกู้วิกฤตการเงินของรัฐบาลสหรัฐ 7 แสนล้านดอลลาร์ บวกกับสถานการณ์วิกฤตของสถาบันการเงินในชาติยักษ์ใหญ่ของยุโรป ยิ่งทำให้หวาดเกรงว่าจะมีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ล้มอีกมาก