เอพีรายงานว่า เมื่อ 10 ต.ค. การซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียร่วงระนาวอีกครั้ง ช่วงส่งท้ายสัปดาห์
เป็นการตามกระแสที่ตลาดหุ้นวอลสตรีตของสหรัฐดิ่งเป็นรอบที่ 7 ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงไปอีก 7.33% และอยู่ในระดับต่ำกว่า 9,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในช่วงเปิดตลาดที่เอเชีย หุ้นญี่ปุ่นดิ่งพรวด 9.62%, เกาหลีใต้ ดิ่ง 4.1% ออสเตรเลีย ดิ่ง 8.3% ส่วนรัสเซียสั่งปิดตลาดไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนในสหรัฐตื่นตระหนกกับสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อเกิดกระแสวิตกสะพัดว่า ความต้องการซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคทั่วโลกอาจดิ่งพสุธาในปีหน้า
โดยราคาหุ้นของเจอเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์สหรัฐ อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ.1950 เมื่อสถาบันสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์เตรียมปรับลดระดับเรตติ้งของจีเอ็มลงในอีก 3 เดือนข้างหน้า หลังยอดขายของจีเอ็มในฝั่งอเมริกาเหนือตกลงไป นอกจากนี้ยังประเมินสภาวะของฟอร์ด มอเตอร์ส ในด้านลบด้วย กระแสดังกล่าวทำให้ดัชนีหุ้นในยุโรป ซึ่งเดิมพุ่งขึ้นจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางชาติต่างๆ สุดท้ายดิ่งลงกันหมด
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ 6 ต.ค. เกิดภาวะหุ้นดิ่งทั่วโลก ตลาดหุ้นในเอเชีย ยุโรป และวอลสตรีตของสหรัฐ มีสภาพทรงกับทรุดด้วยภาวะหวาดผวาภาวะเศรษฐกิจ
แม้ว่า แผนกู้วิกฤตการเงินของรัฐบาลสหรัฐ 7 แสนล้านดอลลาร์ จะผ่านความเห็นชอบของสภาไปแล้วในสัปดาห์ที่แล้ว แต่นักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นในอิทธิฤทธิ์ของแผนดังกล่าว บวกกับสถานการณ์ร่อแร่ของสถาบันการเงินในชาติยักษ์ใหญ่ของยุโรป ยิ่งทำให้นักลงทุนหวาดเกรงว่าจะมีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ล้มอีกมาก