เอไอเอเปิดเวทีแจงปัญหาบริษัทแม่เจ๊งยันไม่กระทบถึงลูกค้าในเมืองไทย โชว์ฐานะมั่นคงมีกำไรปีละ 8 พันล้านบาท วอนลูกค้า-ตัวแทนอย่าตื่นยังได้รับการคุ้มครองเหมือนเดิม เชื่อหลังเฟดเข้าอุ้มจะทำให้เข้มแข็งขึ้น เตรียมเดินสายออกรายการฟื้นความเชื่อมั่น
วิกฤติการเงินสหรัฐที่ลุกลามต่อเนื่องจนล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ เอไอจี กรุ๊ป จำนวน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 79.99% ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทลูกในประเทศไทย คือ บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด หรือ เอไอเอ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมา มีผู้ถือกรมธรรม์ของเอไอเอได้โทรศัพท์สอบถามเข้าไปจำนวนมาก
เมื่อวันที่17 กันยายน ที่ผ่านมา นายไทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงและผู้บริหารอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด ได้ชี้แจงต่อพนักงาน และเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เวลา 13.30 น. โดยระบุว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เอไอเอได้ขอความช่วยเหลือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้ประกาศถึงสถานะของเอไอเอ ประจำประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากเลขาธิการ คปภ.ด้วยดี ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ปรากฏหน้า 1 ของสื่อทุกฉบับ เมื่อวันที่ 16 กันยายน ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะความแข็งแกร่งมั่นคงของเอไอเอได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการของเอไอจี ได้หารือกันว่าจะยื่นล้มละลายหรือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ แต่ตอนนั้น หากเอไอจีตัดสินใจยื่นล้มละลาย ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐถือว่าได้เป็นพาร์ตเนอร์ของเอไอจีไปแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นได้โทรศัพท์ไปยังทูตสหรัฐประจำประเทศไทยและผู้บริหารแล้ว ว่าข้อเท็จจริงรัฐบาลสหรัฐได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทำให้เอไอจีมีสภาพคล่องมากขึ้น นอกจากนี้ หากดูในเรื่องประกันภัยทุกบริษัทประกันภัยในเอไอจี มีความเข้มแข็งด้านการเงิน บริษัทพอใจอยู่แล้วและเป็นบวกมาโดยตลอด
มีส่วนเดียวที่เอไอจีทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น ผมยังรู้สึกโกรธ คนกลุ่มนี้ทำให้เอไอจี เป็นแบบนี้ และข่าวล่าสุดรัฐบาลสหรัฐก็ได้สั่งปลด โรเบิร์ต บี. วิลเลียมสตาด ออกจากซีอีโอแล้ว และได้แต่งตั้งซีอีโอคนใหม่ เอ็ดเวิร์ด ไลดี ขึ้นมาแทน ซึ่งเป็นคนดูตัวเลขเป็นหลัก โดยจะเข้ามาดูและวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆ ที่ผู้บริหารเอไอจีไม่เห็น เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป นายโทมัสกล่าว
นายโทมัสย้ำว่าเอไอเอดำเนินธุรกิจในไทยมาเป็นเวลา 70 ปี มีความแข็งแกร่งที่ดี มีสินทรัพย์รวม 387,060.77 ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ของเอไอเอคิดเป็น 1.03% ของสินทรัพย์เอไอจี มีเงินสำรองตามกฎ คปภ. 286,674.28 ล้านบาท มีเงินกองทุน 69,241.64 ล้านบาท คิดเป็น 1,107.67% ของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย ซึ่งแนวทางการกำกับและตรวจสอบบริษัทประกันภัยแนวใหม่กำหนดให้บริษัทต้องดำรงเพียงแค่ 150% เท่านั้น เงินสำรองที่เอไอเอ สำรองเอาไว้เพื่อรองรับภาระผูกพันตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย มีกำไรสะสม 7 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันมีลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตกว่า4.8 ล้านกรมธรรม์ หากรวมกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านกรมธรรม์ โดยเอไอเอประจำประเทศไทย ไม่ได้ซื้อหุ้นของเอไอจีเลย เงินลงทุนของเอไอเอประจำประเทศไทย 70% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 10% ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่เหลือ 20% ลงทุนในตลาดต่างประเทศ ประเภทพันธบัตรทั้งรัฐบาลและเอกชน และเป็นการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจาก คปภ.ทุกอย่าง
ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าเอไอเอประจำประเทศไทยมั่นคง เติบโต แข็งแกร่ง สร้างผลกำไรสะสมมาได้ 7 หมื่นล้านบาท โดยเฉลี่ยจะมีกำไรปีละ 8,000 ล้านบาท ในด้านการลงทุนเราก็ลงทุนในสิ่งที่ไม่เสี่ยงภายใต้กฎ คปภ.กำหนด เราต้องปฏิบัติตามกฎของประเทศที่เข้ามาลงทุนและเราจะมั่นคงต่อไปอีก 70 ปีนับจากนี้ ผู้ถือกรมธรรม์ทั้งเอไอจีและเอไอเอ ยังได้รับความคุ้มครองทั่วโลก เราตั้งใจสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกค้าและถือเป็นภาระที่สำคัญ นายโทมัสระบุ
ส่วนสาเหตุที่เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการล่าช้าเพราะในวันที่เกิดเหตุการณ์ยังไม่ได้ทราบข้อเท็จจริง จากเอไอจี สำนักงานใหญ่ เมื่อทุกอย่างชัดเจน จึงแถลงข่าวเพื่อให้ทุกคนทราบ โดยจากนี้ไปนับตั้งแต่เย็นวันที่ 17 กันยายน เป็นต้นไป ผู้บริหารของเอไอเอ จะออกรายการทีวีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับจะเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ทุกสาขา รวมทั้งจะมีบทความลงหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย ในส่วนของตัวแทนและผู้บริหารหน่วย ได้ส่งจดหมายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน และในวันที่ 18 กันยายนก็จะส่งจดหมายไปยังลูกค้าทุกรายให้ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นายโทมัสกล่าวว่าแนวทางที่รัฐบาลสหรัฐเข้ามาสนับสนุนทางการเงินครั้งนี้ เชื่อว่าจะดำเนินการอยู่ประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นรัฐบาลก็จะถอนตัวออก และให้เอไอจี บริหารจัดการเอง โดยแนวทางการคืนเงินให้แก่รัฐบาลสหรัฐ 1.ในส่วนของกิจการที่ไม่ใช่ธุรกิจประกันภัย เช่น การให้เช่าเครื่องบินก็อาจจะต้องขายออกไป แต่การที่รัฐบาลสหรัฐให้ยืมเงินมาก่อนก็ทำให้สามารถยืดระยะเวลาการขายออกไปเพื่อให้ได้ราคาตามราคาตลาด 2.เรื่องของหุ้นที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็อาจจะต้องมีการขายเพื่อนำเงินมาคืนให้แก่รัฐบาลรวมถึงการนำกำไรของเอไอจีไปคืนรัฐบาลด้วย
ผมยังคิดในแง่บวกเชื่อมั่นว่าถ้าเราผ่านเรื่องทั้งหมดไปได้เราก็จะเข้มแข็งมากขึ้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อโบนัสหรือไม่นั้น ก็จะมีผลกระทบต่อรับผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ได้โบนัส สำหรับพนักงานทั่วไป ไม่มีนโยบายใดๆ ไปตัดโบนัส หรือกระทบต่อแผนการปรับเงินเดือนแต่อย่างใด" นายโทมัสกล่าวและว่า บริษัทมีนโยบายชัดเจนที่ไม่ตัดเรื่องงบประมาณเด็ดขาด คือ 1.เงินเดือนและโบนัสพนักงาน 2.เรื่องโฆษณา ซึ่งบริษัทจะดูแลพนักงานให้ดีที่สุด เพราะถือว่าพนักงานของเอไอเอดีเยี่ยมในธุรกิจ มีพลังตัวแทนเข้มแข็งที่สุด และอีก 70 ปีข้างหน้าจะเข้มแข็งยิ่งกว่านี้
ด้านนายอนุชาเหล่าขวัญสถิต รองประธานอาวุโสและรองผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า ปัญหาของเอไอจี คือ นำเงินไปลงทุนในซีดีโอ ที่ค้ำประกันบริษัทเอกชนอื่นในโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาตลาดเครดิตที่มีการปรับตัวสูงมาก ทำให้ขาดทุนจากการที่เข้าไปรับประกันเครดิตในหลายประเทศ ทำให้ขาดทุนเมื่อเทียบกับราคาตลาด แต่เป็นการขาดทุนทางบัญชี เพราะฉะนั้นต้องนำเงินสดมาเป็นหลักประกันให้ผู้ค้าและมีผลต่อเรตติ้งของบริษัทลดลงมาด้วย ดังนั้นจึงต้องหันมาหาเงินสดค้ำประกัน
เอไอเอประจำประเทศไทย มีสถานะเป็นสาขาของเอไอเอฮ่องกง หรือเป็นหลานของเอไอจี เท่านั้น การขอส่งผลกำไรไปยังฮ่องกง ก็ต้องได้รับอนุมัติจาก คปภ.ทุกครั้งในฐานะนายทะเบียน ที่ผ่านมาคปภ.ได้อนุมัตให้นำเงินกำไรออกไปได้เฉลี่ยปีละกว่า 1,000 ล้านบาทเท่านั้น แม้ว่าจะมีกำไรสูงก็ตาม และเงินกำไรที่ได้รับอนุมัตินำออกไปยังฮ่องกง ล่าสุดก็เป็นเงินกำไรของปี 2549 จำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนปี 2550 ได้ขอนำกำไรออก 1 หมื่นล้านบาท แต่ คปภ.จะให้ทยอยออกไปได้แค่ 2,000 ล้านบาท และให้แบ่งออกเป็น 2 งวด งวดละ 1,000 ล้านบาท นายอนุชากล่าว
นายอนุชากล่าวย้ำว่า ในทางกลับกัน หากเอไอจีล้มจริง สินทรัพย์ของเอไอจี ก็ต้องถูกนำออกมาขาย หุ้นที่เอไอจีมีอยู่ก็จะขายหุ้นออกก็ได้ แต่ขณะนี้เป็นการปรับโครงสร้างของเอไอจีแล้ว ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 5-10 ปีในการฟื้นฟู ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจเอไอเอจากนี้ไปทุกอย่างยังเหมือนเดิม และเท่าที่คุยกับตัวแทนเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการนำเสนอให้แก่ลูกค้ารับทราบว่า เอไอเอมีเงินกองทุนสูงกว่ากฎคปภ.ถึง 1,107% ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการขยายตลาดให้แก่ตัวแทนได้ดี