นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองคำแท่งในต่างประเทศได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน
ประกอบกับกองทุนต่างประเทศ (เฮดจ์ฟันด์) ลดการเก็งกำไรทองคำและหันไปเก็งกำไรหุ้นตัวอื่นแทนทำให้ราคาทองคำลดลงมากในช่วงนี้ โดยราคาทองคำแท่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาลดลงบาทละ 2,500 บาท ซึ่งในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ราคา 790 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมในวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 980 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งในประเทศลดลงมาอยู่ที่บาทละ 12,950 บาท จากเดิมราคาอยู่ที่บาทละ 15,450 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณอยู่ที่บาทละ 13,350 บาทจากเดิมอยู่ที่บาทละ 15,950 บาท โดยถือเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
“ราคาทองคำแท่งปรับตัวลดลงเร็วกว่าที่สมาคมฯ คาดการณ์ไว้ โดยที่ผ่านมาคาดว่าราคาทองคำแท่งในตลาดโลกจะลงในช่วงปี 52 โดยสาเหตุหลักเกิดจากกองทุนต่างประเทศมีการเทขายทองคำบางส่วนและหันไปเก็งกำไรสินค้าอื่นแทนทำให้ราคาทองคำในช่วงนี้มีความผันผวน ส่วนแนวโน้มทองคำจะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถบอกได้”
ทั้งนี้ เห็นว่าทองคำแท่งในประเทศเริ่มขาดตลาด เนื่องจากนักลงทุนและนักเก็งกำไรได้สั่งซื้อทองคำไว้เป็นจำนวนมาก โดยลูกค้าที่สั่งซื้อต้องใช้เวลา 10 วันถึงสามารถมารับทองคำแท่งได้ จากปกติที่ใช้เวลาเพียง 1-2 วันเท่านั้น
ส่วนทองรูปพรรณยอดขายไม่ดีนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้การซื้อทองคำรูปพรรณเพื่อเก็บออมลดลง แต่ทองคำแท่งคนที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนมีเงินและเป็นนักลงทุน ทั้งนี้ขอเตือนนักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เพราะทองคำช่วงนี้มีราคาผันผวน และควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ตาม อนาคตราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับค่าเงินบาท โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นประมาณ 400 บาท สาเหตุที่นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนทองคำแท่ง เนื่องจากได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าเงินฝากในช่วงที่เงินเฟ้อสูง ซึ่งหากซื้อทองคำจะได้รับผลกระทบแทนเฉลี่ย 9% แต่ถ้าเงินฝากได้รับดอกเบี้ยเพียง 3% เท่านั้น.