พระผู้ถึงพร้อมวิชชาและจรณะ

ไทยโพสต์

เปลวสีเงิน
10 มิถุนายน 2549 กองบรรณาธิการ

เช้าวาน "๙ มิถุนายน ๒๕๔๙" มหาประชาชน ยกประเทศไทย "ทั้งประเทศ" มารวมอยู่ "เฉพาะพระพักตร์" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ตั้งแต่ลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ลานพระบรมรูปทรงม้า เรื่อยไปตามถนนราชดำเนิน และเรื่อยไป..เรื่อยไป..สุดประมาณมิได้ ประหนึ่งว่า แลสะพรั่ง-เหลืองสะพรึ่บ ไปทั่วทั้งสุดรอบขอบเขตขัณฑสีมา

ท่านเคยเห็น "คนร้องไห้" ด้วยความสุขบ้างไหม?


ทุกท่านจะต้องตอบเหมือนกันโดยมิได้นัดหมายว่า ไม่เคยเห็น..แต่กำลัง "ร้องเอง" อยู่เดี๋ยวนี้อย่างไรล่ะ!

คนที่มีความสุขดื่มด่ำจากสุทธิจิต คือจิตอันตั้งมั่นด้วยกุศลเจตนาแน่วแน่เป็นหนึ่งแล้ว สุขนั้นจะเกิดเป็นรูปธรรมผ่านอุทกอันรินจากอกเบื้องซ้ายเอ่อไหลออกอาบหน้าให้ปรากฏ

นั่นคือ "น้ำตา" แห่งปีติสุขสุด!


ความจริง น้ำตาแบบนี้ น่าจะเรียกว่า "น้ำทิพย์" อันกลั่นมาจากพลังศรัทธามากกว่า

ซึ่งมาจากคนละบ่อ คนละความหมายกับ "น้ำตา" อันกลั่นมาจากโศกาลัย

ครับ..ผมคิดอยู่หรอกว่า เช้าวันที่ ๙ มิถุนา.ผู้คนจะต้องมารอเฝ้าถวายพระพร ถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงเสด็จออกสีหบัญชร ด้านทิศใต้ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมกันมากมาย

แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ ชาไปทั้งตัวชั่ววูบ ตอบไม่ถูกหรอกครับว่าอาการชาวูบวาบฉับพลันนั้นมาจากเหตุใด

ชา..ด้วยปีติ ตื่นตา ตื่นใจ ทั้งที่คิดไว้แล้ว แค่คาดไม่ถึงตามที่คิดว่า มหาประชาชนจะมากมาย ประหนึ่งระลอกคลื่นในมหาสมุทรที่หนุนเนื่องมากันไม่สิ้นสุดลูกแล้วลูกเล่า มองสุดลูกหู-ลูกตา ก็หามองได้สิ้นสุดเช่นครั้งนี้ไม่

จะมีอะไร ครั้งไหนในโลก ที่จะเป็นเครื่องดึงดูดให้มหาประชาชนไหลจากทิศานุทิศมารวมอยู่ ณ จุดเดียวกัน ด้วยปรารถนาแห่งหัวใจเดียวกันได้มากมายสุดคณาดังวานนี้


ผู้คนเป็นแสน-เป็นล้าน กลางลาน กลางร้อนแดด แต่ทุกคนกลับ "เย็นฉ่ำ" กลางใจ ในทันทีที่พระองค์ทรงเสด็จออกสีหบัญชร ให้เป็นที่ปรากฏพระวรกาย

ยิ่งยาม "โบกพระหัตถ์" ให้มหาประชาราษฎร์ที่เฝ้าแหน และโห่ร้อง..ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ


หนึ่งร้อนจากดวงตะวัน ถูกนับล้านจากดวงใจรัก ผลักร้อนให้สลาย กลายเป็นสายลมเย็น..ด้วยใจภักดิ์-รักยิ่งนักในพระองค์พ่อ!

คนนับแสน-นับล้าน กระทั่ง "จาน" หนึ่งใบในงานก็ไม่แตก ไม่บิ่น

ไม่มีใครหิว ไม่มีใครกระหาย เพราะอิ่มตา-อิ่มใจเหลือเกิน

เป็นนิมิตหมายที่ "ควรจำกันไว้" ประเทศไทย-คนไทย ควรทำให้วันที่ ๙ มิถุนา.มีอยู่ในทุกๆ ของทุกวันตลอดไป

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ รักษาการ ตอบคำถามนักข่าวในประเด็น "ความขัดแย้งในสังคมที่มีอยู่ควรยุติกันได้แล้วหรือยัง?" ว่า

"ผมว่าทุกอย่างต้องพอได้แล้ว ทุกฝ่ายมีหน้าที่ทำอะไรให้ถูกต้อง ตามกติกาที่ตัวเองต้องทำ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ตามกติกา กระจายอำนาจหน้าที่ที่ตนเองมีอยู่ แค่นี้ก็จะสามารถลดความขัดแย้ง และทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสบายพระทัย"

ก่อนอื่น ผมในฐานะ "พสกนิกร" ผู้หนึ่ง ขอบคุณรัฐบาลผ่านท่านนายกฯ ที่จัดการ และดูแล "ทุกสิ่งทุกอย่าง" ให้งานฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี "เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ สมหน้าประเทศไทย-คนไทย สวยงาม สงบ และสามัคคี

ผมจำจากหนังสือเรียนตอน "องคุลิมาล" วิ่งไล่ตาม "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" หวังฆ่าตัดเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ เพื่อทำให้สำเร็จเป็นจอมภพจบไตรผู้ยิ่งใหญ่ตามความ "หลงผิด" ของเขา

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำเนินไปเรื่อยๆ แต่โจรองคุลิมาลควงดาบวิ่งกวดสุดฝีตีน

คนวิ่งไล่ แต่ไล่ไม่ทันคนเดินธรรมดา!

ไล่จนเหนื่อยหอบแฮ่กๆ สุดท้าย ก็จนปัญญา "มหาโจรองคุลิมาล" จึงตะโกนขึ้นว่า..นี่แน่ะ..คนหัวโล้น หยุดก่อน หยุดรอเราก่อน!

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบด้วยพุทธปรานีว่า

"เราน่ะหยุดแล้ว แต่ท่านตะหากล่ะ ที่ยังไม่หยุด"


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราปีนี้ ใกล้ ๘๐ พระพรรษา ดูจะทรงเริ่มชราภาพเล็กน้อย เห็นได้จากทรงพระราชดำเนินช้าลง แต่พระวรรณะ ยิ่งผ่องใส เจิดจ้า ประหนึ่ง "ตะวันทรงกลด"

พระพักตร์พระองค์ท่านเปล่งปลั่งกระไรปานนั้น พูดก็พูดเถอะ ที่พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งไว้เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ว่า

"พระองค์จะทรงอยู่จนถึง ๑๒๐ ปี" นั้น


เป็นพระราชดำรัสที่พสกนิกรปลดเปลื้องสิ้นแล้วซึ่งความสงสัยใดๆ และเป็นพระราชดำรัสที่สร้างความมั่นอก-มั่นใจ และสร้างความสุขให้อันหาใดเหมือน

เมื่อพระพ่อของแผ่นดิน "ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"


มวลพสกนิกร ที่ปฏิบัติดีอยู่แล้ว ก็จะมุ่งมั่นรักษาดี และเพิ่มดีขึ้นไปเรื่อยๆ.. เพื่อพ่อ

ที่ปฏิบัติไม่ดีอยู่ ก็จะกลับตัว-กลับใจ เพียรพยายาม คิดดี-พูดดี-ทำดี-สามัคคีชาติ..เพื่อพ่อ

จากสีพระพักตร์ จากแววพระเนตร เมื่อทุกสายตา และทุกดวงใจพุ่งรวมเป็นหนึ่งไปอยู่ที่พระองค์ ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ

พลังที่สะท้อนกลับมา อันแต่ละตัวคนตอบตัวเองไม่ได้ แต่รับรู้ด้วย "รู้สึก" ได้ว่า

เหมือนได้สัมผัส "สายกระแสก้นมหาสมุทร" ลึกสุด ไม่เพียง ใสสุด เย็น สุด แต่ที่น่าตื่นตะลึงใจ คือความ "ราบเรียบ-เงียบสงบ" อันมีพลังไพศาลแห่งภาวะจิตที่ยกพ้นแล้วจากโลกธรรม

"ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ชนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจเพียงคำกล่าวขานแต่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเคร่งครัด และสมบูรณ์ด้วย "ทศพิธราชธรรม"

ก็ใช่แล้ว แต่ไม่เพียงธรรมในหมวด "ทศพิธราชธรรม" เท่านั้น จากพระราชจริยาวัตรอันก่อเกิดเป็นพระมหาบารมีจวบจนโลกนี้มีพระองค์เพียง ๑ ที่ทรงครองสิริราชสมบัติได้ยาวนานมากกว่า ๖๐ ปีขึ้นไป นับจากวันนี้

นั่นมิใช่ด้วยเพราะพระองค์ทรงเจริญด้วยพระชนมายุประการเดียว แต่ประการสำคัญคือ พระองค์ทรงเจริญด้วยการปฏิบัติธรรมเข้าสู่ภาวะอีกชั้นหนึ่งแล้ว

เรามักได้ยิน หรือบางคนเคยสวดภาวนาอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำในบท..อิติปิโสภะคะวา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณะสัมปันโน โลกะวิทู...

ก็มักสวดกันไปตามบท แต่หาเข้าใจความไม่ อันคำว่า วิชชาจรณะสัมปันโน นั้น สำคัญนัก!

วิชชา ๘ และจรณะ ๑๕ อันรวมเรียกว่า "วิชชาจรณะ" นั้น เป็นธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญดีแล้วโดยมิต้องสงสัย มิเช่นนั้น พระบารมี พระบุญญาธิการ จะไม่แผ่ไพศาล "มั่นคง" จนมิสามารถประมาณได้ ดังเป็นอยู่ขณะนี้

"วิชชา" หมายถึง ความรู้ ความแจ่มแจ้ง เป็นผลของการที่ได้ศึกษาและฝึกเพียร ประพฤติ ปฏิบัติ ตามขั้นตอน

"จรณะ" หมายถึง แนวทางปฏิบัติ

"วิชชาและจรณะ" นี้ ผู้ช่วย ศ.สมศรี ปทุมสูตร ผู้ช่วย ศ.ประยงค์ วิริยะวิทย์ และรอง ศ.อาภรณ์ พุกกะมาน จากจุฬาฯ ทำงานวิจัยไว้ว่า

"การถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ หมายถึง การปฏิบัติจนเกิดผล รู้ชัดในผลที่เกิดกับตน และรู้ชัดในแนวทางที่ปฏิบัติจนเกิดผลนั้น ตรงกับภาษาที่พูดกันแพร่หลายว่า รู้มรรครู้ผล เกิดมรรคเกิดผล ได้มรรคได้ผล

ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ ในพุทธศาสนา จึงเป็น ผู้ปฏิบัติขัดเกลาตนด้วยการลดละ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ความติดยึดต่างๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจ จนสะอาด สิ้นเกลี้ยง เกิดผล คือ พ้นทุกข์ โดยรู้ชัดว่า จนพ้นทุกข์นั้นๆ แล้ว และรู้ชัดด้วยว่า ทำอย่างไรจึงได้พ้นทุกข์นั้นๆ

วิชชา ๘ ก็คือ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ

ส่วน จรณะ ๑๕ ก็ประกอบด้วยหัวข้อธรรมหมวดใหญ่ ๔ หมวด คือ ศีล ๑ อปัณณกธรรม ๓ สัทธรรม ๗ และฌาน ๔

ครับ..ก็บอกแต่หัวข้อหลักๆ เท่านั้นนะครับ เพราะเนื้อที่จำกัด อีกอย่าง เรื่องธรรมะนั้น ไม่ใช่เรี่องรู้จากการอธิบาย แต่ควรต้องรู้จากการปฏิบัติ สิ่งที่ผมจะบอกคือ ผู้ใดถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้นั้น ทะลุอนาคต ทะลุใจคน และทะลุนั้น คือ "รู้ทะลุ" นั่นเอง.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์