ครองแผ่นดินโดยธรรม แท้แล้ว พระเจ้าข้า

มติชน

บทนำ

นับจากพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ประชาชนไทยไม่มีผู้ใดสงสัยเลยว่า จะไม่มีการใดไม่เป็นไปดังพระราชปณิธาน แม้จนวิกฤตการเมืองครั้งล่าสุด ที่เกิดการประจัญความคิดกันขึ้น (อย่างดันทุรังโดยไม่จำเป็น) ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายนที่ผ่านมา กระทั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นองค์ชี้ทางออกรูปธรรมให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นทุกคราวที่กลไกของบ้านเมืองอัมพาต หรือหมดสมรรถนะที่จะดำเนินไปด้วยตัวเองได้

การเมืองที่เปลี่ยนไปตามบทบาทของตัวละครซึ่งเปลี่ยนสถานะกันเข้ามา จากนายทหารที่บังหน้าให้นายทุน มาเป็นพ่อค้านักธุรกิจที่เข้ามาสู่ศูนย์อำนาจโดยตรง ปัญหาที่ตามพร้อมเข้ามาจึงซับซ้อนตามความแยบยลของคนเหล่านั้นไปด้วย ท่ามกลางวังวนของการแสวงประโยชน์ทางการเมือง พระมหากษัตริย์ทรงไม่พ้นปัญหาที่การเมืองพยายามผลักมาให้เป็นพระราชภาระ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นนักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ และองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกสำคัญ ก็ทรงปัดเป่าปัญหาด้วยทรงวางพระองค์เป็นนักประชาธิปไตยซึ่งไม่ละเมิดหน้าที่อย่างดียิ่ง

ตลอด 60 ปีในสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงให้เห็นด้วยพระองค์เอง ในการทรงงานอย่างหนัก ทรงดำเนินวิถีชีวิตอันเรียบง่ายเช่นเดียวกับพสกนิกร ทั้งทรงเป็นแบบอย่างอันงดงามในพระราชจริยวัตร ในวิธีปฏิบัติแบบไทย ขณะเดียวกันก็ทรงเรียนรู้โลกอย่างกว้างขวางในแทบทุกสาขาความรู้ อันจะยังประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎรในพระองค์ได้ ด้วยวัตรในพรหมวิหารธรรม และทศพิธราชธรรม เป็นพระราชกรณียกิจในปริมาณที่มากด้วยคุณภาพจากเนื้อหาอันมหาศาล จนคิดกันว่า มีแต่สมมุติเทพเช่นพระองค์เท่านั้นที่ทรงงานได้ด้วยพระอัจฉริยภาพอันยังผลเอกอุ

ถ้าเพียงแต่พสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการการเมืองและพลเรือน รวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า ดำเนินตามรอยพระยุคลบาท ทั้งการทำงานหนักอย่างมุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก นอกเหนือการระมัดระวังดูแลชีวิตครอบครัว และอยู่กินอย่างพอดีไม่มีส่วนเกินจนสามารถฟุ่มเฟือยทิ้งขว้าง ทำให้เกิดความแตกต่างเป็นช่องว่างระหว่างคนมากเข้าทุกที ถ้าเพียงแต่เราทุกคนน้อมรับพระราชวิถีอันสันโดษ สมถะ เพียงพอในทุกสิ่ง นอกจากบ้านเมืองจะผ่อนเบาปัญหาไปได้อย่างมาก ผู้คนในบ้านเมืองก็ยังจะสามารถคงความเป็นเมืองยิ้มอันเอื้อเฟื้ออ่อนโยน อย่างที่เคยเป็นมา ที่หาได้ยากในทุกวันนี้แล้วก็เป็นได้

ลำพังส่ำเสียงพสกนิกรที่เปล่งสรรเสริญพระบารมี และปวารณาตัวที่จะบำเพ็ญคุณความดีถวาย ย่อมถือเป็นบุญของบ้านเมืองอันเนื่องมาจากพระเมตตาบารมีในพระองค์ ซึ่งยังผลสะท้อนกลับสู่ประชาชนเอง แต่สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นยิ่งกว่าที่ได้ยิน คือการลงมือทำของรัฐบาลและนักเลือกตั้งทั้งหลาย ว่าจะบำเพ็ญคุณใดถวายแก่แผ่นดิน เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระ แทนที่จะกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง ให้ระคายเบื้องพระบุคลบาท และสร้างความอิดหนาระอาใจแก่ประชาชนไม่รู้แล้ว จนอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ กลายเป็นโทษแก่บ้านเมือง มิได้เป็นอำนาจที่สร้างสรรค์ความเจริญทั้งทางจิตใจและวัตถุที่จำเป็นแต่อย่างใด

เพราะนับวัน การเมืองในระบอบทุนนิยมที่ปราศจากธรรมกำกับ มีแต่จะทำร้ายผู้คนและล้างผลาญทรัพยากรยิ่งขึ้นทุกที จนหากประชาชนไม่ร่วมมือกันควบคุมและติดตามพฤติกรรมบรรดานักเลือกตั้งอย่างจริงจัง เป็นพลังประชาชน ป้องกันมิให้กาฝากประชาธิปไตยได้แผ้วพานพระวิริยะและอุตสาหะที่ทรงอุทิศแด่พสกนิกรมายาวนาน ด้วยการเข้มงวดกับตัวเองในศีล และเผื่อแผ่เพื่อนทุกข์ในธรรม เป็นการสนองคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งธรรมที่ครองใจบ้านเมือง ระบือไปนอกพระราชอาณาเขตประจักษ์แก่ผู้คนทั่วหล้า ว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างอันประเสริฐในผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม เช่นสัจจะอันจริงแท้แน่นอน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์