กรณีนายจักรพันธ์ ประมวลสุข อายุ 71 ปี เข้า แจ้งความพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ว่า
ถูกคนร้ายฉกเพชรแอฟริกาน้ำหนัก 2,100 กะรัต มูลค่าประมาณ 315 ล้านบาท โดยใบรับรองยืนยันจากสถาบันอัญมณี-ศาสตร์สากล เหตุเกิดที่บริษัทจัดหางาน ซาป้า อินเตอร์-เนชั่นแนล เซอร์วิส จำกัด เลขที่ 161/414-411 ซอยวิภาวดี 76 ถนนวิภาวดี แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ต่อมาคนร้ายได้นำเพชรของกลางที่ฉกไปส่งคืนกลับมา เมื่อเจ้า-หน้าที่ตำรวจนำไปตรวจสอบ ปรากฏว่าอัญมณีดังกล่าวเป็นเพียงแร่ชนิดหนึ่งชื่อคิวบิกเซอร์โคเนีย มูลค่าราว 200 บาทเท่านั้น ไม่ใช่เพชรราคามหาศาลตามที่แจ้งความไว้
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อสายวันที่ 1 ส.ค. พ.ต.ท. ณฐกร คุ้มทรัพย์ พงส.(สบ3) สน.ดอนเมือง เปิดเผยว่า
ตอนนี้ยังไม่สามารถแจ้งความใครได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เสียหายแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในส่วนของนายจักรพันธ์เดินทางมารับเพชรกลับคืนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ก.ค. จากการสอบสวนในเบื้องต้นนายจักรพันธ์ ยืนยันว่าเพชรที่มีผู้นำมาคืนเป็นเพชรของตนเองจริง ขณะเดียวกันก็ยังยืนยันว่าอัญมณีดังกล่าวเป็นเพชรแท้ ไม่ใช่ แร่ตามที่มีการนำไปตรวจสอบ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่านายจักรพันธ์ยังมีอาการป่วยอยู่จึงปล่อยให้เดินทางกลับไปพักผ่อนเสียก่อน และจะนัดมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงอีกครั้ง เมื่อนายจักรพันธ์หายป่วยและพร้อมจะให้ปากคำ
พ.ต.ท.ณฐกรกล่าวอีกว่า
สำหรับข้อหาในเรื่องของการแจ้งความเท็จนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากยังไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ต้องพิจารณาก่อนว่านายจักรพันธ์มีเจตนาที่จะโกหกหลอกลวงหรือไม่ ต้องใช้เวลาในการสอบปากคำและรวบรวมพยานหลัก-ฐานระยะหนึ่ง สำหรับบริษัทเจ้าของใบรับประกันที่ตก เป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ถ้าหากจะมาแจ้งความเอาผิดกับ นายจักรพันธ์ก็สามารถดำเนินการได้ ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม ให้มาติดต่อพนักงานสอบสวน สน.ดอน-เมือง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดติดต่อขอแจ้งความแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 กล่าวว่า
ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนยังคงติดตามหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุฉกเพชรอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าเป็นคนที่อยู่ในวงการค้า ขายเพชร ตอนนี้ยังมีประเด็นที่ขัดแย้งอยู่หลายเรื่องคือหากเป็นคนร้ายจริงก็ไม่น่าจะนำเพชรมาคืน ขณะเดียวกันยังตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของนายจักรพันธ์ เจ้าของเพชร ที่นำเอกสารเท็จอ้างว่าเป็นเพชรแท้ แจ้งราคาเกินจริง ว่ามีจุดประสงค์อย่างไร ตรงนี้ผู้เสียหายต้องนำหลักฐานมายืนยันเพื่อให้เกิดความชัดเจน หากเข้าข่ายความผิดก็จะถูกดำเนินคดีแจ้งความเท็จและใช้เอกสารปลอม