เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ โดยสำนักมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “องค์ความรู้งานวิจัย การสร้างหลักประกันความมั่นคงและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” โดยนางศิริรัตน์ แอดสกุล อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลวิจัยเรื่อง “สถาบันครอบครัว พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง” ว่า จากการศึกษาข้อมูล เรื่องการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม โดยเฉพาะการลงพื้นที่ จังหวัดอุดรธานี สัมภาษณ์หญิงไทยที่นิยมมีสามีฝรั่ง ได้รับทราบถึงเหตุผลว่า เป็นเพราะผู้ชายในแถบอีสานมีนิสัยขี้เกียจ ชอบกินเหล้าและชอบทำร้ายร่างกาย บางรายถึงขนาดสามีสนับสนุนให้ไปมีสามีฝรั่งพร้อมนำลูกไปด้วย เหตุผลอีกส่วนเป็นเพราะทำให้มีชีวิตดีขึ้น บางรายมีรายได้ต่อเดือน 40,000-50,000 บาท เพราะส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อย ไม่มีทางที่จะหารายได้มากขนาดนั้น รวมทั้งยังชักชวนพี่น้องให้มีสามีฝรั่งด้วย ส่วนฝรั่งเองก็ชอบหญิงไทยเพราะมีนิสัยเอาใจใส่ดูแล
นางศิริรัตน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบปัญหาเยาวชนมากมาย สถิติที่น่าห่วงพบว่านิสิตนักศึกษา อยู่หอร่วมกันฉันสามีภรรยาอย่างไม่อายใครมากขึ้น
โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อนๆก็ทำกัน กลายเป็นมิติที่เปิดเผย แถมยังระบุว่าเรื่องเรียนกับเรื่องเซ็กซ์เป็นคนละเรื่อง ที่น่าห่วง บางคู่มีการสลับคู่นอนโดยไม่คำนึงว่าคู่ใคร ปฏิบัติกามกิจโดยไม่มีการป้องกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนก็ผ่านการมีเซ็กซ์มาแล้ว จึงเป็นข้อมูลที่น่าห่วงที่กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า วัยรุ่นนิสิตนักศึกษาเป็นเอดส์มากขึ้น ทั้งยังพบปัญหาการล่าเซ็กซ์หรือเด็กล่าแต้ม จากการพูดคุยกับเด็กระดับมัธยมต้นคนหนึ่งล่าแต้มมาแล้วถึง 90 กว่าราย ในระยะเวลา 6 ปี ทั้งที่เด็กไม่ได้ยากจน แต่ทำเพราะมองเป็นเกมอย่างหนึ่ง ไม่ได้หวังทรัพย์สิน ไม่สนใจความรู้สึกพ่อแม่ และกลุ่มเพื่อนก็ไม่ได้มองว่าน่าวิตก
อาจารย์จุฬาฯยังกล่าวอีกว่า จากการพูดคุยกับ คนขับแท็กซี่ได้รับรู้ปัญหามากมาย
บางรายระบุว่าเด็กผู้หญิงบางคนพาผู้ชายขึ้นแท็กซี่แถวสถานเริงรมย์ให้ไปส่งโรงแรม ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแม้แต่ชื่อก็ไม่ทราบ เด็กนักเรียนบางกลุ่มใช้รถแท็กซี่เป็นที่เปลี่ยนชุดนักเรียน เด็กผู้หญิงบางรายระบุว่า เบื่อคู่นอนและขอแลกคู่นอนกับเพื่อน บางคนเห็นผู้ชายหน้าตาดีก็ประกาศว่าภายใน 3 วัน จะนำผู้ชายคนนั้นมาเป็นแฟนให้ได้ นอกจากนี้เรื่องของคู่เกย์ เลสเบี้ยนก็มีมาก และเปิดเผยตัวกันมากขึ้นในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะจุฬาฯทุกคณะจะเห็นผู้ชายเบี่ยงเบนทางเพศเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงเสรีภาพ น่าห่วงว่าจะกลายเป็นแฟชั่น นิสิตบางรายถึงขนาดเก็บเงินรอไปผ่าตัดแปลงเพศ
นางศิริรัตน์กล่าวด้วยว่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้มองว่า โลกหมุนกลับจากเดิมที่ผู้ชายเป็นฝ่ายตามจีบผู้หญิง แต่สมัยนี้ผู้หญิงไล่ล่าผู้ชาย มองเซ็กซ์เป็นเรื่องเสรีไม่ผิดกฎหมาย
ไม่คิดเรื่องรักนวลสงวนตัว ไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ยึดหลักขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มสูงขึ้น หากครอบครัวไม่ตระหนัก ให้เวลาดูแลลูกอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้น่าจะมีกลไกสังคมและรัฐที่จะร่วมกันรณรงค์ให้เด็กไทยรักนวลสงวนตัว คำนึงความเป็นกุลสตรี อย่านำเรือนร่างมาเป็นเกมกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมฯและผู้เกี่ยวข้อง ต้องร่วมรับผิดชอบหาทางป้องกันโดยเร่งด่วน