เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 14 ก.ค. นางเกษร พุ่มแจ้ง อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 290/478 ซอยคู่สร้างคู่สม 21 ถนนสุขสวัสดิ์ ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ อาชีพเย็บตัดเสื้อผ้า
เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าวไทยรัฐ กรณีไตขวาหายไปจากร่างกาย ทราบภายหลังไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 เมื่อวันที่ 10 ก.ค. เนื่องจากมีอาการปวดเอว ขา และหน้ามืดบ่อยครั้งจนต้องหยุดงานเป็นประจำ ผลตรวจแพทย์ระบุว่า ไตเสื่อมทำงานได้ 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลให้มีอาการดังกล่าว และอาจจะไตวายได้ เนื่องจากมีไตซ้ายข้างเดียว ส่วนไตขวาหายไป และไม่ได้เกิดจากอาการไตฝ่อ จากนั้นตนได้ไปแจ้งความต่อ ร.ต.ท.เชิดชัย ขังทอง พนักงานสอบสวน (สบ1) สน.ราษฎร์บูรณะ ให้สอบสวนว่าไตตนหายไปได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เคยอัลตราซาวด์และผ่าตัดมาก่อน
นางเกษรกล่าวถึงปมสงสัยเริ่มแรกก่อนอวัยวะสำคัญภายในหายไป โดยเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 48 เกิดอุบัติเหตุขณะนั่งรถสองแถวแล้วไปชนรถสิบล้อ ตนบาดเจ็บที่ท้อง
เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ-พระประแดง แพทย์อัลตราซาวด์ตรวจดูอาการ ช่วงนั้นไตยังอยู่ครบทั้ง 2 ข้าง ก่อนออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานได้ตามปกติ ต่อมาวันที่ 9 ส.ค. 49 เจ็บที่ท้องน้อยอย่างแรง ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงธน 2 แพทย์ระบุเป็นซีสต์ที่มดลูก ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด นอนอยู่ที่โรงพยาบาล 5 วัน จนร่างกายแข็งแรงกลับไปทำงานตามปกติ กระทั่งเกิด อาการปวดตามเนื้อตัว ไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 เอกซเรย์จนพบว่า ไตขวาตนหายไป โดยแพทย์ เอกซเรย์ถึง 2 ครั้ง เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อน ตนได้กลับไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพ-พระประแดงอีกครั้ง เพื่อขอประวัติเก่าที่เคยรักษา รวมทั้งภาพอัลตราซาวด์ เมื่อปี 48 มาดู พร้อมให้แพทย์อธิบายแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ พบว่ายังมีไตอยู่ทั้ง 2 ข้าง จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลกรุงธน 2 ขอดูฟิล์มเอกซเรย์ในช่วงเป็นซีสต์ที่มดลูก แต่ฟิล์มเอกซเรย์ขณะนั้น เป็นฟิล์มเอกซเรย์ในช่องท้อง มองไม่เห็นไตได้ทั้ง 2 ข้าง
นางเกษรกล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้อยากพิสูจน์ว่าไตขวาหายไปได้อย่างไร
มีขั้นตอนไหนที่เกี่ยวกับการรักษาผิดพลาดบ้าง ครั้นจะพิสูจน์ทราบความจริงหรือฟ้องร้องด้วยตัวเอง ต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งตอนนี้งานทำไม่ได้ สามีคือนายธวัชชัย พุ่มแจ้ง อายุ 42 ปี ทำโรงงานบริษัทอาซาฮี ย่านพระประแดง ต้องหาเลี้ยงครอบครัวอยู่คนเดียว พ่อก็ป่วยเป็นมะเร็งแถมยังมีค่าใช้จ่ายภายในบ้านอีก ก่อนหน้าตนและสามีเป็นกำลังหลักของครอบครัว แต่ตอนนี้งานทำไม่ค่อยได้ เพราะหน้ามืด ร่างกายอ่อนแอ มีไตข้างซ้ายข้างเดียวแถมยังเสื่อมอีก จึงเกิดอาการเครียด อยากให้แพทยสภาเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ที่ผ่านมาเคยทำหนังสือขอความช่วยเหลือกับทางเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์แล้ว แต่เรื่องล่าช้าจึงร้องเรียนผ่านไทยรัฐช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาตรวจสอบเรื่องของตนด้วย
เย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่โรงพยาบาลกรุงธน 2 ย่านราษฎร์บูรณะ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลแจ้งให้ ทราบว่า ในเช้าวันที่ 15 ก.ค. ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะเป็นผู้ให้รายละเอียดเอง ขณะนี้ติดภารกิจอยู่