ประธานสหภาพแรงงานธนาคารออกโรงจวกตร.เป็นตัวการแพร่คลิปสาวแบงก์
ชี้ตอนแรกจับแล้วปล่อยเพราะโดนขู่ว่าพ่อใหญ่โต แต่พอไปตรวจสอบแล้วเป็นคนธรรมดาเลยละเมิดสิทธิ์เอาคลิปไปแพร่ในเน็ต ระบุตร.จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้เพราะเป็นคนถ่ายไว้เอง จวกซ้ำแบงก์ต้นสังกัดไม่ปกปิดข้อมูลของอดีตลูกจ้าง อาจกดดันเพราะเครียดเรื่องงาน ด้านตร.โต้ที่ปล่อยเพราะเป็นคดีลหุโทษ ไม่คาดเข็มขัด ตร.สามารถตักเตือนแล้วปล่อย ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อใหญ่ ย้ำตร.นำเทคโนโลยีมาใช้กับการทำงานเพื่อลดความขัดแย้ง-แก้ข้อครหา กรมสุขภาพจิตระบุอาการฉุนเฉียวในคลิปเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่ควรแก้ไข แต่ไม่ใช่โรคจิต ชี้กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่สังคมจะได้เรียนรู้เรื่องการควบคุมอารมณ์ เชื่อว่าสาวแบงก์เมื่อได้ดูคลิปภายหลังก็อาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไป
จากกรณีมีการโพสต์คลิปร้อนๆ แพร่หลายกันในเน็ต เป็นคลิปสาวอายุ 30 ปีเศษ สวมเสื้อมีโลโก้ธนาคารแห่งหนึ่ง
ขับรถซีวิคไม่คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วโดนตำรวจจราจรกลางเรียกบริเวณสี่แยกพาหุรัด กทม. แต่หญิงสาวรายนี้กลับระเบิดอารมณ์ใส่ตำรวจอย่างรุนแรงถึงขั้นขึ้น "กู-มึง" อ้างว่าพ่อใหญ่ ให้รีบเขียนใบสั่งเพราะไปทำงานสายแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กล้องมือถือเก็บภาพเหตุการณ์ไว้ตลอดเวลา จากนั้นข่าวสดพยายามติดต่อหญิงสาวรายนี้เพื่อเปิดโอกาสให้เปิดใจถึงแรงกดดันที่ทำให้ต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนั้น แต่ธนาคารต้นสังกัดระบุว่าเป็นพนักงานทดลองงาน และลาออกไปเมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะมีปัญหากับลูกค้า พอตามไปถึงบ้านพักย่านป้อมปราบก็พบว่าย้ายบ้านไปแล้ว เพราะมีปัญหากับญาติพี่น้อง ขณะที่พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผบช.น. ซึ่งดูแลงานจราจร ได้นำกรณีดังกล่าวเป็นกรณีศึกษาในที่ประชุมตำรวจจราจร โดยให้เน้นใช้อุปกรณ์กล้องมือถือเป็นหลักฐานในการจับกุมผู้กระทำผิดด้วย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ป้องสาวแบงก์ด่าจร. ปธ.สหภาพ โวยตร.มือแพร่คลิป
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ ประธานสหภาพแรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย และประธานสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า
อยากขอความเห็นใจให้พนักงานธนาคารที่ตกเป็นข่าว เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลของตำรวจเพียงด้านเดียว และที่สำคัญอยากให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเท่าเทียมกัน เพราะตามเนื้อข่าวระบุว่า พนักงานหญิงสาวคนดังกล่าวทำผิดกฎจราจร แต่เข้าใจว่าเป็นลูกคนใหญ่โตจึงปล่อยตัวไปโดยไม่ทำอะไร หากเป็นจริงตามนั้นเรื่องนี้คงเงียบหายไปไม่เป็นข่าว แต่เข้าใจว่าเมื่อตำรวจตรวจสอบแล้ว พบว่าพนักงานหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นเพียงลูกคนธรรมดาคนหนึ่ง จึงเกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิส่วนบุคลด้วยการนำคลิปไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ต เพราะเสียหน้าที่ปล่อยตัวไป ซึ่งตำรวจคงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เนื่องจากเป็นผู้ที่ถ่ายคลิปเอาไว้ เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการรณรงค์ให้เคารพกฎจราจร แต่ไม่ควรเลือกปฏิบัติ
"ฝ่ายธนาคารควรระมัดระวังในการให้ข้อมูล เพราะการที่ประชาสัมพันธ์ธนาคารต้นสังกัดให้ข้อมูลว่า พนักงานหญิงสาวคนดังกล่าวลาออกไปแล้วเนื่องจากมีเหตุทะเลาะกับลูกค้า เป็นการทำเกินหน้าที่และเป็นการละเมิดสิทธิ์ของลูกจ้าง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการทำความผิดตามกฎหมายจราจร พนักงานหญิงคนดังกล่าวไม่ใช่อาชญากรที่เมื่อเป็นข่าวขึ้นมา ธนาคารต้นสังกัดต้องรีบบอกปัดว่า ไม่ได้เป็นพนักงานของธนาคารเนื่องจากลาออกไปแล้ว ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พนักงานหญิงคนดังกล่าว เป็นผู้ทำผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ และหากเป็นจริงสาเหตุเกิดจากอะไร มาจากความเครียดจากการทำงานหรือไม่" นายชัยสิทธิ์กล่าว
นายชัยสิทธิ์กล่าวอีกว่า
พนักงานหญิงคนดังกล่าวที่แสดงอาการไม่สำรวมดังกล่าวออกมา อาจเกิดจากความเครียดที่ต้องรีบไปทำงานให้ทันเวลา เพราะอยู่ในช่วงทดลองงาน และตามเนื้อข่าวที่ระบุว่าพนักงานหญิงคนดังกล่าวทดลองงาน 5 เดือน คนทั่วไปอาจคิดว่าพนักงานหญิงคนนั้นอาจบกพร่องในการทำงาน จึงยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของธนาคารต้นสังกัด แต่เป็นเรื่องปกติของระบบธนาคารที่ให้พนักงานทดลองงานนานกว่าธุรกิจอื่น คือ ระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะได้รับการพิจารณาว่าจะบรรจุงานหรือไม่ อีกส่วนอาจเกิดจากความเครียดจากการทำงาน
เนื่องจากธนาคารจะใช้งานพนักงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน และระบบการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากผิดพลาดไม่ได้ จนอาจทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิต เคยมีตัวอย่างที่พนักงานเครียดจากการทำงานมากขนาดทะเลาะกับลูกค้า หรือกระชากเน็กไทของผู้บริหารมาแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าเกิดเพราะความเครียดจากการทำงาน จึงนำเข้าสู่ขบวนการบำบัดและให้กลับเข้าทำงานตามปกติ โดยไม่ถูกให้ออกจากงาน ดังนั้นธนาคารต้นสังกัดของพนักงานหญิงคนดังกล่าว ควรหาสาเหตุที่แท้จริง ก่อนที่จะให้ข่าวที่เป็นภาพลบต่อพนักงานหญิงคนนั้น
วันเดียวกัน พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผบช.น. กล่าวว่า
วันนั้นหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจจราจรตั้งด่านตรวจ และพบหญิงสาวคนดังกล่าวกระทำผิดกฎจราจรในข้อหาไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่พกใบขับขี่ ความจริงแล้วจะต้องพาไปเปรียบเทียบปรับกันที่โรงพักท้องที่เกิดเหตุ คือ สน.จักรวรรดิ แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวมีปัญหามาก อ้างว่าจะรีบไปทำงาน อีกทั้งบริเวณนั้นอยู่ในสภาพการจราจรติดขัดจึงยอมปล่อยตัวไป และยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการคือว่ากล่าวตักเตือนและปล่อยตัวไป จึงไม่เกี่ยวที่เจ้าตัวอ้างว่าจะให้พ่อมาจัดการ ไม่ว่าจะอ้างชื่อผู้ใหญ่คนไหนก็ตาม เพราะตำรวจทำตามหน้าที่และไม่กลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อว่า
ในปัจจุบันตำรวจได้นำเทคโนโลยีมาใช้กับการทำงานเพื่อลดความขัดแย้ง และเพื่อแก้ข้อครหา รวมทั้งปกป้องการทำงานของตำรวจที่มีความตั้งใจทำงาน จึงจำเป็นต้องมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ เพราะหากตำรวจคนใดจับหญิงสาวหน้าตาสวยแต่ใช้กิริยาวาจาไม่สุภาพแล้วไปพูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ และไม่คาดว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นมีหลักฐานชัดเจนจากการบันทึกภาพขั้นตอนต่างๆ ยืนยัน ทำให้หลักฐานชิ้นนี้สามารถช่วยเหลือและปกป้องแก้ข้อครหาตำรวจที่ตั้งใจทำงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่เฉพาะเพื่อป้องกันความขัดแย้งในการทำงานของตำรวจเท่านั้น แต่นำไปเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือแก้ปัญหาจราจรไม่ให้ติดขัดได้อีกแรงหนึ่ง เวลาเกิดอุบัติเหตุ ตำรวจสามารถบันทึกภาพและแยกรถคู่กรณีออกไปในทันที
ด้านพ.ต.ท.สุดจิตร์ สุขสมัย สว.งานสายตรวจ 5 กก.1 บก.จร. กล่าวว่า
เหตุการณ์วันนั้นอยู่ในช่วงการตั้งด่านตามแผน 7 วันอันตราย โดยมีหัวหน้าด่านเป็นผู้หมวดคุมด่านอยู่ ส่วนตนจะเป็นผู้ไปตรวจดูความเรียบร้อย บังเอิญใกล้จะเลิกตั้งด่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งทำหน้าที่ดูต้นทางว่ามีใครกระทำผิดกฎจราจรบ้าง เมื่อพบการกระทำผิดจึงได้วิทยุแจ้งมาให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านทราบ และได้โบกให้เข้าซ้ายระหว่างเจ้าตัวพยายามจะเร่งเครื่องขับหลบหนี ตำรวจจึงได้นำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายตัวรถและทะเบียนไว้เป็นหลักฐาน ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจมีท่าทางอย่างที่เห็นในคลิปวิดีโอ
"การจะจับให้เป็นให้ตายนั้นคงทำไม่ถึงขั้นนั้น เพราะข้อหาไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่พกใบขับขี่ เป็นคดีลหุโทษ เจ้าพนักงานสามารถว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปได้ เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าพนักงานที่ใช้ดุลพินิจแต่ละรายไป" พ.ต.ท.สุดจิตร์กล่าว