มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นแบบนี้!!
เมื่อมีกรณีช่างรับเหมาไปรื้อตึกย่านถนนประชาสงเคราะห์ ดินแดง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ตึกได้พังถล่มลงมาทับเสาไฟฟ้าโค่นรวดเดียวถึง 7 ต้น พังทับรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมาเสียหายไป 9 คัน จนเกิดความอลหม่านไปทั่วย่านดินแดง รถติดยาวเหยียด แต่ยังดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต มีแต่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งหมดล้วนเกิดจากความประมาท!!
ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นตอนบ่ายวันที่ 29 มิ.ย. พ.ต.ท.มานิต นิปัจการนันท์ พงส. (สบ 3) สน.ดินแดง รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุอาคารที่กำลังอยู่ระหว่างรื้อถอน เกิดพังทับเสาไฟฟ้า บริเวณริมถนนประชาสงเคราะห์ แขวงและเขตดินแดง เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าหักโค่นลงมาทับรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาได้รับความเสียหาย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาและประสานเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฯ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธารุดไปแก้ไข
เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วบนถนนสายสำคัญสายนี้
เมื่อไปถึงพบที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างปากซอยประชาสงเคราะห์ 12 กับซอยประชาสง เคราะห์ 14 มีเสาไฟฟ้า 7 ต้นและเสาไฟจราจรอีก 1 ต้นหักโค่นลงมา สายไฟและตัวเสาขวางถนนเอาไว้ทุกเลน โดยเสาไฟฟ้าที่หักลงมายังทับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่วิ่งผ่านมาอีกถึง 9 คัน มี รถแท็กซี่ โตโยต้า อัลติส สีเขียวเหลือง ทะเบียน มล 1386 กทม. ของนายสมศักดิ์ ขวัญอยู่เย็น อายุ 52 ปี ถูกสายไฟฟ้าฟาดใส่เสียหายเล็กน้อย รถแท็กซี่ โตโยต้า โคโรลล่า สีฟ้า ทะเบียน ทย 8822 กทม. ของนายพูลสวัสดิ์ สุวรรณวงษ์ อายุ 43 ปี ถูกเสาไฟฟ้าล้มทับหลังคารถด้านหลังจนยุบ มีผู้โดยสารนั่งมาด้วยบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุได้เดินทางไปร.พ. ด้วยตัวเอง รถแท็กซี่ โตโยต้า อัลติส สีชมพู ทะเบียน 5994 กทม. รถแท็กซี่ โตโยต้า อัลติส สีเขียวเหลือง ทะเบียน มข 6757 กทม. พังเสียหายเล็กน้อย
นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด สีดำ ทะเบียน สณ 3618 กทม. ถูกเสาไฟฟ้าล้มทับกระจกและฝากระโปรงหลัง รถจักรยานยนต์ฮอน ด้าเวฟ เอ็กซ์ สีฟ้าดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน รถจักรยานยนต์ฮอนด้า คลิก เพลย์ สีส้ม ทะเบียน กวก 734 กทม. รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ 125 สีน้ำเงิน ทะเบียน กขจ 308 กทม. และคันสุดท้ายเป็นรถแท็กซี่ โตโยต้า อัลติส สีชมพู ทะเบียน ทน 8375 กทม. ถูกเสาไฟฟ้าทับกระโปรงหน้า ได้รับความเสียหายไปตามๆ กัน
งานนี้ส่งผลทำให้รถติดท้ายแถวยาวเหยียด
นอกจากเสาไฟฟ้าที่ล้มลงไปทับรถแล้ว ยังมีเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งซึ่งมีหม้อแปลงไฟฟ้าติดตั้งอยู่ล้มด้วย ทำให้หม้อแปลงตกลงมากระแทกพื้น มีน้ำมันไหลออกมานองเต็มพื้นถนน และมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากหม้อแปลง เป็นที่หวาดเสียวยิ่งนัก นอกจากนี้ เสาไฟที่หักยังไปดึงเอาสายไฟที่ต่อเข้ากับบ้านเรือนบริเวณที่เกิดเหตุได้รับความเสียหาย ทางเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฯ ต้องรีบตัดไฟบริเวณดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้า รั่ว ก่อนจะช่วยกันนำทรายมาเทกลบน้ำมันบนพื้นถนน และนำรถเครนมายกเสาไฟฟ้าที่หักโค่นขึ้นมา กว่าเจ้าหน้าที่จะเคลียร์พื้นที่ได้ ก็ทำให้รถติดหลายชั่วโมง และไฟดับเป็นเวลานานตั้งแต่บ่ายยันค่ำ
จากการสอบสวนนายสมพร สมสนุก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 2 ต.หายโศก อ.บ้านผือ จ. อุดรธานี ซึ่งเป็นคนงานรื้อถอนตึก เล่าว่า
ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมด้วยเพื่อนคนงานของ บ.ศรีโกเมน จำกัด นำรถแบ๊กโฮ 2 คัน เข้ามารื้อถอนอาคารเรียนเก่าสูง 4 ชั้น ของโรงเรียนพร้อมพรรณ เพื่อก่อสร้างอาคารหลังใหม่ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยการรื้อถอนเริ่มดำเนินการมาราว 1 เดือนแล้ว จนมาถึงขั้นตอนที่ใช้รถแบ๊กโฮติดหัวเจาะตัดเสาอาคารทีละต้น ก่อนจะดึงให้ล้มพับลงมาเป็นชั้นๆ โดยนายแจ้ง ไม่ทราบชื่อจริง อายุ 38 ปี เป็นคนขับรถคันที่เจาะเสา ส่วนตนเองขับรถสำหรับตักเศษปูนใส่รถบรรทุกนำไปทิ้ง โดยมีนายสาโรจน์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นหัว หน้าคอยควบคุมงาน
ส่วนนาทีพินาศนั้น นายสมพรเล่าว่า
ก่อนที่อาคารจะล้มลงมา เป็นจังหวะที่นายแจ้งลงมือเจาะตัดเสาชั้นที่ 3 จนขาดและกำลังดึงให้โครงอาคารล้มลงมา แต่ปรากฏว่าอาคารกลับล้มไปอีกทางหนึ่ง ทำให้ไปฟาดกับเสาไฟฟ้าริมถนนจนเอียง ก่อนที่สายไฟฟ้าซึ่งติดอยู่จะดึงรั้งกันเองจนเสาไฟฟ้าต้นอื่นๆ หักและล้มลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ไปทับรถที่วิ่งผ่านมาเสียหาย ซึ่งหลังเกิดเหตุไม่ทราบว่านายแจ้งและนายสาโรจน์หายไปไหน
ทั้ง 2 อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีไปได้
ในชั้นนี้เจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป โดยจะเร่งติดตามตัวนายแจ้ง คนขับรถแบ๊กโฮ นายสาโรจน์ คนคุมงาน และเจ้าของ บ.ศรีโกเมน มาสอบสวนหาสาเหตุอีกครั้ง ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร นอกจากนี้ ยังจะประสานเจ้าหน้าที่โยธาของกทม. ที่รับผิดชอบเรื่องการก่อสร้างรื้อถอน เข้าไปตรวจสอบการดำเนินการรื้อถอนอาคารดังกล่าว ว่าดำเนินการถูกต้องตามระเบียบหรือไม่
ส่วนในเรื่องคดีทำให้เสียทรัพย์ หลังเกิดเหตุมีเจ้าทุกข์ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของรถยนต์และเจ้าของทรัพย์สินอื่นๆ ทยอยเข้าแจ้งความกับตำรวจสน.ดินแดงมากมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการติดตามตัวผู้รับผิดชอบมาเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นอุทาหรณ์สำหรับช่างรับเหมาทั่วไป ว่าการทำงานจะต้องระมัดระวังไว้ให้มาก เพราะหากพลาดพลั้งไปอาจทำให้เกิดเหตุร้ายขึ้นได้
อันจะนำพาไปสู่การบาดเจ็บเสียชีวิตและเสียหายทรัพย์สินมหาศาล