หลังจากที่นางชลธิชา ปานแย้ม ภรรยาของนายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย
อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ยื่นฟ้องคดีอาญากล่าวหาว่านายเอกพจน์ ทำร้ายร่างกาย และแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. ขณะที่นายเอกพจน์ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาประเด็นต่างๆ และทั้งสองฝ่ายก็เริ่มตอบโต้กันไปมาผ่านสื่อมวลชนนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. เวลา 12.00 น. ที่รัฐสภา นายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จำเป็นต้องออกแถลงข่าวครั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิชื่อเสียงที่สะสมมานาน โดยจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะชี้แจงทุกอย่างและต้องการจบเรื่องนี้ ไม่มีเจตนาต่อความยาวสาวความยืด เพียงแต่ต้องการให้สื่อเสนอข่าวสองด้านเพื่อปกป้องวงศ์ตระกูลของตน
นายเอกพจน์กล่าวว่า กรณีที่นางชลธิชา ปานแย้ม ภรรยา ระบุว่าตนทำร้ายร่างกายและยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนั้น เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ตนไม่ขอพูดถึง
ที่สำคัญจะกระทบต่อความรู้สึกของลูก จึงขอให้นำเรื่องนี้ไปว่ากันในศาล แต่ยืนยันว่ายังเคารพในสตรีเพศ และเรื่องนี้จะกระทบต่อหลายๆคนที่รอบข้างทั้งสองฝ่าย แต่ที่จำเป็นต้องพูดก็เพื่อให้ประชาชนไม่เคลือบแคลงสงสัยหรือเข้าใจผิดว่าตนเป็นคนแบบนั้น ขอชี้แจงว่ากรณี ที่ขอหย่ามันน่าจะจบไปก่อนหน้านี้แล้ว นางชลธิชาน่าจะจบเรื่องนี้หลังจากไปฟ้องต่อศาลธัญบุรี แต่ปรากฏว่านางชลธิชากลับให้ข่าวในด้านลบในลักษณะต้องการทำลายล้างชื่อเสียงเกียรติยศ โดยเฉพาะการให้ข่าวว่าตนไม่ต้องการให้ลูกไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แค่อยากให้ลูกเรียนต่อในประเทศก่อน เพราะขณะนี้ ยังไม่พร้อมในเรื่องค่าใช้จ่าย หากมีความพร้อมก็อยากส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่อยากให้ลูกมีการศึกษาดี
นายเอกพจน์กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกัน 8 ปี ไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่ข่าวที่ออกมาจากนางชลธิชาเสมือนหนึ่งว่าเขาไม่ได้รับการดูแล กล่าวหาว่าตนมีภรรยาน้อยและต้องการขอหย่า ซึ่งหากมีภรรยาน้อยจริงตนยอมหย่าไปนานแล้ว คงไม่ปฏิเสธการหย่าแบบนี้ อีกทั้งพยายามประคับประคองปัญหาทุกอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือคิดถึงความรู้สึกของลูก ไม่ให้ได้รับผลกระทบต่างๆ และไม่ให้ รับทราบข่าวที่ไม่ดีผ่านสื่อ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนางชลธิชามีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง เห็นตัวเองเป็นที่ตั้ง อารมณ์ ร้อน นอกจากนี้ยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในลักษณะจมไม่ลง ทั้งที่ ตนเป็นหนี้เป็นสิน แต่นางชลธิชากลับไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น
นายเอกพจน์กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างจบลงเพราะตนทำใจไม่ได้ เนื่องจากนางชลธิชาไปลงประกาศ หาคู่ในอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2550 ตนไปพบและเก็บเรื่องนี้ มาตลอดหนึ่งปี
พร้อมทำใจมาตลอด และพยายามให้แม่ไปเจรจาไกล่เกลี่ยภรรยา แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งนี้ นางชลธิชาประกาศหาคู่โดยระบุว่ามีอายุเพียง 32 ปี ต้องการหาคู่อายุตั้งแต่ 30-50 ปี พร้อมทั้งลงสถานภาพว่าโสด แต่สิ่งที่ทำให้รับไม่ได้และสะเทือนใจมากที่สุดคือระบุว่าไม่มีบุตร ความจริงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะอยากให้จบโดยดี แต่ก็ จำเป็นต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ตลอดจนผลกระทบที่จะตามมา ขอยืนยันว่ายังยินดีที่จะรับผิดชอบในตัวนางชลธิชาและลูก หากนางชลธิชามีความประสงค์ที่จะให้ตนดูแล ส่วนเรื่องอื่นๆขอไปว่าในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม