ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นไม่หยุดกำลังก่อปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นของประชาชน ทำให้ภาครัฐพยายามงัดมาตรการต่างๆ ออกมารับมืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หยิบยกขึ้นมานำเสนอก็คือ
การให้ข้าราชการทำงานที่บ้าน เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการเดินทางของข้าราชการ
นำร่องโครงการโดยกระทรวงการคลัง ในส่วนของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิชาการ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าตามระเบียบปฏิบัติสามารถดำเนินการได้ทันทีหรือไม่ รวมทั้งกรอบในการประเมินผลงานของผู้บังคับบัญชาว่าจะออกมาได้อย่างไร
"ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องมาทำงานเลย อยู่ที่บ้านทั้งอาทิตย์ แต่ว่าอาจจะมา 4 วัน อยู่บ้าน 1 วัน หรือทำงานที่บ้าน 2 วัน เป็นต้น เพื่อประหยัดทั้งพลังงานของส่วนราชการ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางของข้าราชการเอง แต่ย้ำว่าต้องเป็นส่วนที่ไม่ได้บริการประชาชน โดยอาจจะเริ่มที่ สศค.ก่อนในฐานะหน่วยงานวิจัยและเกี่ยวข้องกับข้อมูล น่าจะไม่มีปัญหาในการทำงาน" นพ.สุรพงษ์ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในชั้นแรกนั้น ข้าราชการส่วนใหญ่ค่อนข้างสนใจกับแนวคิดดังกล่าว แต่ยังไม่แน่ใจว่าส่วนงานที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้นจะเข้าข่ายหรือไม่
และในทางปฏิบัติจะสามารถทำได้จริงแค่ไหน เพราะในการทำงานนั้น ตามปกติข้าราชการระดับที่ต่ำกว่าซี 8 ลงมาจะต้องสแกนนิ้วมือก่อนเข้าทำงานไม่เกินเวลา 09.00 น. และต้องสแกนออกหลังเวลา 16.30 น. หากไม่มาทำงานอาจถือเป็นการขาดงาน และจะมีผลต่อการพิจารณาผลงานการเลื่อนขั้นและการปรับอัตราเงินเดือน จึงต้องรอดูความชัดเจนตรงนี้ก่อนว่าจะผ่อนผันอย่างไร
ข้าราชการ สศค.รายหนึ่งให้ความเห็นว่า
ผู้ที่ทำงานที่บ้านได้น่าจะเป็นส่วนงานเกี่ยวกับข้อมูล การวิจัย ซึ่งไม่ต้องติดตามข้อมูลวันต่อวันเหมือนการซื้อขายเงิน ซื้อขายสินค้าล่วงหน้าหรือตลาดหุ้นต่างๆ เพราะหากเกี่ยวกับงานส่วนนี้ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่กระทรวงอยู่ดี เชื่อว่าส่วนใหญ่คงไม่มีข้อมูลที่บ้าน เพื่อดูแลในส่วนนี้ รวมทั้งรายที่ต้องติดต่อกับส่วนงานอื่นภายใน หรือติดต่อบุคคลภายนอกก็คงไม่สามารถทำงานที่บ้านได้เช่นกัน
"ในส่วนของหัวหน้าหรือผู้ที่มีตำแหน่งงานสูง ยิ่งไม่ควรทำงานอยู่บ้าน เพราะต้องคอยสั่งงานและติดตามงานกับลูกน้อง หากไม่อยู่ดูแลงานอาจจะไม่ได้ตามเป้าหมาย และผู้ที่อาสาทำงานอยู่บ้านก็อาจถูกมองว่าทำงานจริงหรือเปล่า อาจเป็นข้ออ้างเอาเวลาราชการไปทำอย่างอื่นก็ได้" ข้าราชการคนเดิมกล่าว