ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเปิดเทอมเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้าน
ส่วนผู้ปกครองงดซื้อชุดใหม่ให้ลูก หากจำเป็นก็ซื้อน้อยลง บางคนเผยเทอมหน้าเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นอาจย้ายลูกไปโรงเรียนรัฐ ห้างร้านค้าอัดแคมเปญลดแลกแจกแถม ส่วนผู้ผลิตสินค้ายอมแบกต้นทุนที่สูง พยายามตรึงราคาแบบสุดๆ หวั่นหากปรับราคาขึ้นยิ่งทำให้ยอดขายตก
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงเปิดเทอมของทุกปี ผู้ปกครองต่างต้องเตรียมใจและเตรียมจ่ายเงินก้อนโตสำหรับค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน
รวมถึงชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ยิ่งในภาวะค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นมากในปัจจุบัน บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานการสำรวจค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมทั้งระบบตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับอุดมศึกษา ระบุว่า ปีนี้น่าจะมีเงินสะพัดสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเปิดเทอมในปีที่ผ่านมา ผู้ปกครองมีการปรับตัวเตรียมรับปัญหาในช่วงปิดเทอมแยกได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกจะหันมาซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนเร็วขึ้น โดยเลือกซื้อตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน ช่วงที่ผู้ประกอบการให้ส่วนลดมากที่สุด ร้อยละ 20-30 และยังได้รับความสะดวกในการเลือกซื้อ เนื่องจากลูกค้ายังไม่หนาแน่นเหมือนช่วงใกล้เปิดเทอม ส่วนผู้ปกครองอีกกลุ่มหนึ่งจะเน้นประหยัด ลดปริมาณในการซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน และตัดสินใจซื้อในช่วงใกล้เปิดเทอม หรือบางส่วนเน้นการซื้อเท่าที่จำเป็นและเลื่อนการซื้อไปในช่วงเทอมสองแทน เนื่องจากต้องเกลี่ยค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่ให้เกิดปัญหาเงินขาดมือ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2551 ในส่วนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ ชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน
ซึ่งผู้ปกครองจะเน้นประหยัดและใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสมทบ โดยสถานศึกษาบางแห่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสมทบเพิ่มขึ้น และผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในหลักสูตรพิเศษ เช่น หลักสูตรการเรียนสองภาษา และหลักสูตรนานาชาติ เป็นต้น โดยยินดีเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แม้ว่าค่าใช้จ่ายของหลักสูตรเหล่านี้จะสูงกว่าหลักสูตรปกติประมาณ 2-3 เท่าตัวก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีของบุตรหลาน