เมื่อ 24 เม.ย. หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ของอังกฤษ รายงานว่า
วิกฤตขาดแคลนอาหารและราคาอาหารแพงที่เกิดขึ้นทั่วโลกเริ่มลุกลามไปถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว หลังจากชาวอเมริกันไม่เคยต้องจำกัดการซื้อสินค้าบริโภคมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตลอดเดือนที่ผ่านมา ราคาข้าวสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 เท่า ทำให้ลูกค้าจำนวนมาก ตลอดจนผู้ประกอบการร้านอาหารแห่ซื้อข้าวสารไปกักตุน เพราะเกรงว่า ข้าวจะขาดตลาดและมีราคาแพงขึ้นไปอีกจนห้างสรรพสินค้ารายใหญ่หลายแห่งจำต้องออกกฎยับยั้งลูกค้ากักตุนข้าว
ป้ายแจ้งจำกัดการซื้อข้าวที่แคลิฟอร์เนีย |
แซมส์ คลับ แผนกจัดซื้อของวอลมาร์ต ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ออกกฎห้ามซื้อข้าวถุงใหญ่ขนาด 9 กิโลกรัม เกิน 4 ถุงต่อลูกค้า 1 คน
ในข้าวหอมมะลิ ข้าวบาสมาติ และข้าวขาวเมล็ดยาว หลังจากที่คอสต์โก ห้างค้าปลีกคู่แข่ง ก็ออกกฎห้ามการซื้อข้าวและแป้งสาลี ในบางสาขา โดยห้ามลูกค้าซื้อข้าวเกิน 2 ถุงต่อวัน แต่บางสาขาที่ไม่ได้จำกัดการซื้อก็เริ่มได้รับผลกระทบสินค้าไม่มีจำหน่ายผลจากการกว้านซื้อของลูกค้าแล้ว
ส่วนในอังกฤษ ห้างอาสด้าในเครือวอลมาร์ต แจ้งว่า ต้องจัดสรรปริมาณข้าวขายให้ลูกค้าในชุมชนที่ชาวเอเชียอาศัยอยู่
เพื่อป้องกันการซื้อไปกักตุน และที่บริษัททิลด้า ผู้นำเข้าข้าวบาสมาติรายใหญ่ที่สุด ให้ข้อมูลว่า จะจำกัดขายข้าวให้ลูกค้าไม่ให้เกิน 2 ถุงต่อคน รายงานระบุว่า ความต้องการบริโภคในจีนและอินเดียเพิ่มขึ้น ภาวะแล้งในออสเตรเลียและวัชพืชในเวียดนาม ทำให้ปริมาณข้าวลดลง และผลักราคาให้สูงขึ้น
วันเดียวกัน ผู้นำ 4 ชาติละตินอเมริกา ได้แก่ โบลิเวีย นิการากัว เวเนซุเอลา และคิวบา ที่ประชุมในกรุงคารากัส เวเนซุเอลา
บรรลุข้อตกลงร่วมกันที่จะจัดตั้งแผนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,150 ล้านบาท เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์ราคาอาหารแพงในภูมิภาคที่ส่งผลกระทบต่อคนยากจน ประธานาธิบดีฮิวโก้ ชาเวซ ผู้นำเวเนซุเอลา โต้โผในการประชุมครั้งนี้ กล่าวว่า วิกฤตอาหารตอนนี้เป็นผลลัพธ์ใหญ่ที่สุดจากความล้มเหลวในประวัติศาสตร์ของทุนนิยม สิ่งสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์นี้ คือต้องสร้างเครือข่ายจัดสรรอาหารให้แก่คนยากจน