ห้ามสูบบุหรี่ในสถานีขนส่ง ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท

วันนี้ (4 เม.ย.) ที่สถานีขนส่งสายใต้ (แห่งใหม่)  นพ.เสรี  หงษ์หยก  รองอธิบดีกรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข

กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการรณรงค์ให้ความรู้ด้านกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบ ว่า ปัจจุบันผู้ชายสูบบุหรี่มากกว่าผู้หญิง 20 เท่า  กลุ่มอายุที่สูบบุหรี่สูงสุด คือ  41-59 ปี  รองลงมาคือ 25-40 ปี  แต่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ กลุ่มอายุ 15-18 ปี และ 11-14 ปี ซึ่งเป็นนักสูบหน้าใหม่กลับมีอัตราการสูบบุหรี่สูงขึ้น สาเหตุที่วัยรุ่นมีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น  เนื่องจากผู้ผลิตและจำหน่ายบุหรี่มีวิธีการส่งเสริมการขายเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชน  และผู้หญิงมากขึ้น  ดังนั้นประเทศไทยจึงประกาศนโยบายเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบโดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ลดการริเริ่มการสูบบุหรี่ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ลดการบริโภคยาสูบ และปกป้องสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่จากควันบุหรี่


รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า

ในประเด็นปกป้องสุขภาพของประชาชนผู้ไม่สูบบุหรี่นั้น ได้ออก พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพ ของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535  และในปี พ.ศ. 2549  กระทรวงสาธารณสุขได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข  ฉบับที่ 17  กำหนดให้สถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมากเป็นเขตปลอดบุหรี่  ไม่อนุญาตให้มีการสูบบุหรี่ภายในสถานที่นั้น ๆ  โดยมีการแสดงเครื่องหมายเครื่องหมายปลอดบุหรี่  แต่ที่ผ่านมาศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา  กรมควบคุมโรค  ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายบุหรี่เป็นจำนวนมากในประเด็นเดิม  ได้แก่  การสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่  เช่น  สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกประเภท  ซึ่งสถานที่ดังกล่าวต้องห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด  จะสูบได้เฉพาะบริเวณที่จัดให้สูบเท่านั้น  ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2,000 บาท


นพ.เสรี กล่าวต่อว่า สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้   สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกประเภทมีประชาชนเป็นจำนวนมากใช้บริการ 

อาจมีผู้สูบบุหรี่โดยไม่ทราบว่ามีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่  ทำความรบกวนต่อสุขภาพของผู้อื่น  กรมควบคุมโรคจึงได้จัดให้มีการรณรงค์ในสถานีขนส่งผู้โดยสารให้ทราบถึงกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบ เกิดความรู้  ความเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่  และสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง  ประสานความร่วมมือและพัฒนาแนวทางการดำเนินงานตามกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง  และ สร้างกระแสสังคมในการปกป้องสิทธิไม่ให้ถูกละเมิดจากผู้อื่นที่ทำให้เจ็บป่วยจากภัยสุขภาพที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์