คุ้มไหม...ถ้าต้องป่วยเพราะงาน
วัยทำงานเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เรามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมต่อการทำงานหนัก
เพื่อเก็บสะสมเงินทองเอาไว้ใช้ในเวลาที่กำลังวังชาถดถอย โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เป็นคนทำงานซึ่งมีวิถีชีวิตตั้งแต่เช้ายันค่ำนั่งจมจ่อมกับงานบนโต๊ะ ยิ่งสมัยนี้คอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์สำนักงานที่ขาดแทบไม่ได้แล้ว ทำให้หลายๆ คนต้องทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่จะแย่สักแค่ไหน หากว่าการทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงาน(ซึ่งดูเหมือนเป็นงานแสนสบายในสายตาของบางคนที่ต้องใช้แรงงานหรือทำงานภาคสนาม) นั้นกลับกลายเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บสารพัดโรค ....ฟังดูก็รู้ว่าคงไม่สนุกแน่ๆ จริงไหมครับ ลองนึกๆ ดูว่าถ้าเราใช้เวลาวันละ(อย่างน้อย) 8 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน สายตาจับจ้องไปที่คอมพิวเตอร์เกือบตลอดเวลา จะเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพของเราบ้าง...
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกได้ตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยจากการทำงานนั่งโต๊ะ
ว่าคนที่ทำงานลักษณะนี้เป็นเวลานานติดต่อกันสัก 1-2 ปีมักจะเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน (รู้จักกันในชื่อว่า CTD หรือ cumulative trauma disorder หรือ RSI - repetitive strain injury) ซึ่งเกิดจากน้ำหนักที่กดทับจากการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน กล้ามเนื้อ เอ็น และประสาท เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบ อาการที่ปรากฏอย่างเช่น การปวดเมื่อยเอว หลัง เคล็ดขัดยอก หรือเจ็บปวดที่ข้อมือ นิ้ว แขน คอ หรือไหล่
สาเหตุหลักของอาการปวดที่ว่านั้นมักจะเกิดจากอิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ
หรือการเคลื่อนไหวต่อเนื่องซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ อย่างเช่นการกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ท่านั่งทำงานที่ผิดหลัก อาการเริ่มต้นตั้งแต่ อ่อนล้า ชา ปวดบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้งาน ซึ่งช่วงแรกจะหายได้เมื่อหยุดทำกิจกรรมนั้น แต่ในเวลาต่อมาหากยังไม่ได้รักษาอย่างถูกต้อง อาการก็อาจเป็นมากขึ้น เพียงแค่พักผ่อนอย่างเดียวก็ไม่หายแล้วคราวนี้ ต้องทำการรักษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เช่น โปะด้วยถุงน้ำแข็ง ทำกายภาพบำบัด หรือรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็น ทั้งที่จริงๆ แล้วการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้ออย่างนี้ป้องกันได้ไม่ยากเลย เพียงฝึกนั่ง ยืน ให้ถูกท่า หากนั่งนานๆ ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถ เคลื่อนไหว เดินเล่นยืดเส้นยืดสายเสียบ้างทุกๆ ชั่วโมง และจัดพื้นที่ทำงานใหม่ให้เอื้อมหยิบสิ่งของต่างๆ ง่ายขึ้น ลดการยืดเกร็งกล้ามเนื้อของเราให้น้อยที่สุด นอกจากการยืดเส้นยืดสายแล้ว การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยหนึ่งแก้ว ทุกๆ 1-2 ชั่วโมงก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย ลดความอ่อนล้า ทำให้คุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
พักสายตา
คงไม่ต้องบอกว่าดวงตาสำคัญต่อเราอย่างไรนะครับ ปัจจุบันมีคนมีปัญหาด้านสายตาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นมาก ส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่สายตาต้องต่อสู้กับแสงจากหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่ได้พัก ผสานกับอากาศที่มีความชื้นต่ำจากเครื่องปรับอากาศในสำนักงาน ทำให้เกิดอาการเช่น ตาแห้ง แสบตา มองเห็นเป็นภาพเบลอ ตาพร่า หรือปวดหัวได้ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านตาแนะนำว่า คนที่ทำงานในสำนักงานควรได้รับการตรวจดวงตา และทดสอบสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะคนที่มีอาการตาพร่าบ่อยๆ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการหักเหของแสงของสายตา สำหรับคนที่ต้องใช้สายตาหน้าคอมพิวเตอร์นานเป็นพิเศษ เช่น นักเขียน นักออกแบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมเมอร์ รวมถึงคนวัย 40 ขึ้นไปทั้งหลายที่สายตาอาจเริ่มเปลี่ยน ก็ควรเล่าให้คุณหมอฟังถึงกิจกรรมที่คุณทำ ระยะเวลาที่คุณใช้หน้าคอมพิวเตอร์ การจัดสถานที่ทำงาน เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไข หรือป้องกันปัญหาเกี่ยวกับสายตา เพราะเดี๋ยวนี้มีแว่นที่มีเลนส์เฉพาะสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ให้ใช้กันแล้ว แว่นตาชนิดเลนส์มัลติโค้ทก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดแสงสะท้อนและรังสี UV ที่เข้าตา
สำหรับสำนักงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศ อากาศค่อนข้างแห้ง ก็ควรหาถ้วยใส่น้ำวางไว้บริเวณหน้าต่าง ให้น้ำระเหยเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ก็จะช่วยลดอาการตาแห้งได้
ห้องปรับอากาศ สะสมโรค???
เพราะอากาศร้อนๆ อย่างเมืองไทย เครื่องปรับอากาศจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้านและอาคารสำนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตึกสูงล้วนแต่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นตัวช่วยหมุนเวียนอากาศแบบรีไซเคิล และส่วนใหญ่มักจะสงวนพลังงานไม่ให้รั่วไหลออกไปภายนอกด้วยการปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา ถ้าหากเจ้าระบบกลไกหรือแผ่นกรองของเครื่องปรับอากาศมันเกิดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไหนจะควันรถจากถนน ฝุ่นละอองในอากาศ ไปจนถึงสารพิษ ไอระเหยของหมึกจากเครื่องพิมพ์ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร อากาศที่คนจำนวนมากๆ หายใจร่วมกัน จะมีผลต่อคนที่อยู่ในอาคารอย่างไร ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วล้วนเป็นสาเหตุของ "กลุ่มอาการป่วยจากอาคาร" (Sick building syndrome - SBS) ได้ทั้งสิ้น
กลุ่มอาการชื่อแปลกนี้ เป็นที่รับรู้ขององค์การอนามัยโลกมาตั้งแต่ปี 2525
แต่แม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปีแล้วคนก็ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่คนนับล้านๆ คนทั่วโลกต้องผจญกับอาการเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยมีอาการเช่น ความรู้สึกเหนื่อยล้า ปวดหัว มึนงง คัดจมูก เป็นภูมิแพ้ ความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ลดลง และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ทีมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ (NUS) ร่วมกับ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่คนใช้ชีวิตอยู่บนอาคารสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พบว่าชาวสิงคโปร์ อย่างน้อย 1 ใน 5 ต้องผจญกับกลุ่มอาการ SBS นี้ ทีมวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าไม่เพียงเรื่องคุณภาพอากาศภายในอาคารเท่านั้น แต่ความเครียดจากงาน แสงสว่างที่มากหรือน้อยไปในอาคาร การควบคุมอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ล้วนแต่เป็นชนวนให้เกิดกลุ่มอาการดังกล่าวได้ทั้งสิ้น
ทีมศึกษาจาก รพ.เบอร์มิงแฮม ฮาร์ทแลนด์ ในประเทศอังกฤษ ก็ออกมายืนยันถึงความซับซ้อนของอาการป่วยเดียวกันนี้ และสรุปเพิ่มเติมว่า
กลุ่มอาการปวดหัว วิงเวียน แบบ SBS ที่ว่านี้มักเกิดมากในผู้หญิง โดยเฉพาะพวกที่ทำงานในตำแหน่งระดับล่างๆ มีเจ้านายสั่งงานหลายชั้น และพวกที่พกพาความเครียดตลอดการทำงานทั้งวัน จะยิ่งเป็นกันมาก แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดแต่ก็พอเข้าใจได้ว่า สาเหตุทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ และจิตวิทยา รวมๆ แล้วเป็นที่มาของกลุ่มอาการ SBS วิธีป้องกันและแก้ไขที่ดีที่สุดก็คงจะต้องเพิ่มความใส่ใจกับคุณภาพอากาศ คุณภาพเครื่องปรับอากาศ การรักษาอุณหภูมิในสำนักงาน และรักษาบรรยากาศการทำงานให้มีเสียงหัวเราะกันมากขึ้นครับ
ความเครียดจากงาน
เรื่องของความเครียดนั้นเป็นเรื่องที่คนทำงานทุกคนมักหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะงานหนัก งานโหลด รู้สึกว่าถูกกดดัน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีเพื่อน ไม่ได้ใช้ความสามารถเต็มที่ ควบคุมงานไม่ได้ ความสามารถไม่ตรงกับงานที่ทำ การไม่มีเวลาให้กับงานที่รับผิดชอบเต็มที่เพราะอาจทำหลายอย่างพร้อมกัน เบื่อเพื่อนร่วมงาน เงินเดือนต่ำ งานซ้ำซาก ฯลฯ ต่างเป็นชนวนความเครียดหลักๆ ยังไม่นับปัญหารถติดที่สร้างความเครียดให้กับหลายคนก่อนถึงที่ทำงานด้วยซ้ำ คนที่ไม่รู้จักหาวิธีผ่อนคลาย ปล่อยตัวเองจมอยู่กับความเครียดมากๆ นั้นจะส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ทั้งปวดหัว เหนื่อยอ่อน นอนไม่หลับ ไปจนถึงเป็นไข้ ไอ รวมทั้งปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่น คอ และหลัง ยิ่งใครที่สะสมความเครียดไว้นานๆ ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมายตามมาได้ด้วย อย่างเช่น โรคหัวใจ หลอดเลือด ความดันเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ล้วนแต่ทำให้อายุสั้นแทบทั้งสิ้น
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทางป้องกันก็คือ พาตัวเองให้พ้นจากความเครียด ด้วยการหาทางผ่อนคลายวิธีต่างๆ
การพักผ่อนที่เพียงพอ ทบทวนตัวเองว่าบกพร่องหรือมีจุดควรปรับปรุงหรือไม่ตรงไหน แล้วจัดระบบการทำงานใหม่ และแบ่งเวลาให้เป็น กินอาหารที่มีประโยชน์ อยู่ในที่ที่อากาศปลอดโปร่งถ่ายเทดี มีความชุ่มชื้นพอสมควร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต่างเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้เราสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจากการทำงานได้
ก่อนจากกันเรามีข้อแนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากท่านั่งทำงานที่ผิดๆ มาฝากกันทิ้งท้าย ชวนคุณๆ ลองสำรวจตัวเองแล้วปรับเปลี่ยนท่าทางหรือสภาพแวดล้อมเพื่อสุขลักษณะที่ดีกว่าเดิมนะครับ
เก้าอี้นั่งควรอยู่ในระดับพอดี
ที่คุณสามารถนั่งแล้ววางเท้าราบกับพื้น โดยให้หัวเข่าตั้งฉาก 90 องศา หากใครที่เท้าไม่ถึงพื้น ก็ควรที่วางเท้ามารองรับใต้โต๊ะให้พอดี และเมื่อนั่งแล้ว ควรนั่งให้เต็มเบาะ และขอบหน้าของเบาะที่นั่งควรห่างจากหลังน่องประมาณ 2 นิ้ว
ระหว่างทำงานควรมีการหยุดพักเพื่อยืดเส้นยืดสายบ้าง เริ่มจาก กำมือ แล้วหมุนข้อมือเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬิกา – ตามเข็มนาฬิกา อย่างละประมาณ 10 ครั้ง แล้วทำท่าพนมมือ ประสานมือเข้าด้วยกันบีบแน่นๆ ประมาณ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นใช้หลังมือพนม ประสานมือพลิกให้ปลายนิ้วอยู่ด้านล่าง บีบแน่นๆ ประมาณ 10 วินาที จากนั้นกางนิ้วออกกว้างๆ แล้วบรรจบนิ้วแต่ละนิ้วเข้าด้วยกัน ซ้าย-ขวาการถือโทรศัพท์ ควรใช้มือ หรือหากมือไม่ว่างก็ควรใช้สปีคเกอร์โฟน (ลำโพง) ให้เป็นประโยชน์แทน ไม่ควรใช้วิธีเอียงคอหนีบหูโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่เพราะมีโอกาสทำให้ข้อต่อบริเวณนั้นเกิดบาดเจ็บได้ง่าย หยุดพักงานที่ทำเป็นระยะๆ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนไปทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ แทนบ้าง
จัดโต๊ะทำงานใหม่ ให้หยิบฉวยอะไรที่ใช้บ่อยๆ ได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องเอื้อมหยิบ
หรือยืดเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อหยิบของระยะไกลๆ ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่กลางจอภาพอยู่ในแนวตรงพอดีกับปลายคาง จะเป็นระดับที่พอเหมาะกับสายตา และทำให้คอของเราตั้งอยู่ในระดับตรงพอดีที่สุด
ที่มา : สมาคมกระดูกและข้อแห่งสหรัฐอเมริกา
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today