เตือนไข้เลือดออก คาดระบาดรุนแรง

จากสภาพอากาศที่ร้อนสลับมีฝนตก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงเตือนภัยโรคที่มากับสภาพอากาศที่แปรปรวน

โดยเมื่อวันที่ 17 ก.พ. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในปี 2551 คาดว่าจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา จากการเฝ้าระวังโรคในปี 2551 ตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงวันที่ 9 ก.พ. รวม 40 วัน มีรายงานผู้ป่วยสะสมทั่วประเทศ 2,824 ราย เสียชีวิต 4 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 70 อยู่ในภาคกลาง มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปี 2550 ซึ่งมีผู้ป่วยเพียง 1,702 ราย ไม่มีรายงานเสียชีวิต พบว่าจำนวนผู้ป่วยปีนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 66 และมีสัญญาณว่าโรคไข้เลือดออกจะพบในเด็กโตมากขึ้น การพบผู้ป่วยเพียง 1 ราย เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าในหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นๆ อาจมีคนติดเชื้อโดยที่ไม่มีอาการอีกนับ 100 คนได้

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญโรคไข้เลือดออก ประเมินสถานการณ์ว่าแนวโน้มการป่วยโรคนี้ในปี 2551 จะรุนแรงและจะมีการระบาดในวงกว้าง เนื่องจากผลจากโลกร้อน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ยุงลายพัฒนาตัว ไข่จะฟักเป็นตัวเร็วขึ้น และทนแล้งได้นานขึ้น
 

นพ.ปราชญ์กล่าวอีกว่า โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์

คือ 1, 2, 3, 4 จากการเฝ้าระวังเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยไข้เลือดออกที่พบในปีนี้ แนวโน้มเป็นสายพันธุ์ที่ 2 มากขึ้น ซึ่งต่างจากปีที่แล้วที่พบในสายพันธุ์ที่ 1 มากกว่า โดยหากเป็นการติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรก อาการจะไม่รุนแรง หลังติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อต้นเหตุนั้น แต่หากติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 จะทำให้อาการรุนแรงกว่า เนื่องจากเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์ ทำให้เกิดการเสียเลือดและช็อกเสียชีวิตได้ จากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำปฏิกิริยากับเชื้อไวรัส ทำให้มีการรั่วซึมของน้ำเลือดในเส้นเลือด ส่งผลให้เกล็ดเลือดต่ำ เลือดจะออกง่ายขึ้น เนื่องจากเชื้อมี 4 สายพันธุ์ โดยคน 1 คน อาจป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้งตลอดชีวิต เป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำอีกได้


อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีความเสี่ยงอันตรายจากไข้เลือดออกมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่

โดยเฉพาะเด็กอ้วนจะมีปัญหาในการคำนวณการให้สารทดแทนน้ำและเลือด เพราะหาเส้นเลือดยาก เนื่องจากมีไขมันสะสมใต้ผิวหนังมาก และการรักษาจะต้องใช้เกณฑ์น้ำหนักมาคำนวณด้วย ก็จะมีความยุ่งยากมากขึ้น ปลัด สธ.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกเป็นพิเศษ และให้ถือว่าโรคนี้เป็นโรคที่ท้าทายการบริหารจัดการของผู้บริหารทุกระดับ และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นด้วย ได้ขอความร่วมมืออาสาสมัครสาธารณสุขทั่วประเทศ เร่งขอความร่วมมือประชาชนให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อลดปริมาณยุงให้น้อยที่สุด ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่มีการระบาดของโรคดังกล่าวสูงที่สุด ยุงลายที่เป็นต้นเหตุไข้เลือดออกร้อยละ 95 เป็นยุงที่อยู่ในบ้านเรือน อีกร้อยละ 5 อยู่ตามบริเวณสวน

โดยในการกำจัดยุงลาย ขอให้ประชาชนช่วยกันดูแล ปิดฝาโอ่งน้ำกินน้ำใช้  เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้าไปวางไข่

ส่วนในภาชนะเล็กๆ ในบ้านเรือน เช่น แจกัน ไม้ประดับ น้ำที่อยู่ในจานรองกระถางต้นไม้ น้ำในเล้าไก่เลี้ยงตามบ้าน ให้เปลี่ยนน้ำ เททิ้งทุก 7 วัน โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่สุดคือในห้องน้ำ โดยทั่วไปจะมีสภาพชื้น เย็น และมีมุมอับมืด จะเป็นที่ซ่อนตัวของยุงลายได้ ขอให้หมั่นดูว่ามีลูกน้ำยุงลายหรือไม่ หากพบว่ามีแม้แค่ตัวเดียว ขอให้ตักทิ้งไป หรือใช้น้ำให้หมดไปและถ่ายน้ำทิ้ง จะเป็นวิธีกำจัดยุงลายที่ดีที่สุด การพ่นหมอกควันไม่สามารถป้องกันในระยะยาว เป็นเพียงการควบคุมชั่วคราวเพื่อฆ่ายุงลายตัวแก่ในบริเวณที่มีการระบาด เพื่อไม่ให้ยุงที่มีเชื้อไปกัดหรือวางไข่ต่อที่อื่นๆอีก โดยยุงตัวเมียมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 45 วัน หลังผสมพันธุ์แค่ครั้งเดียว สามารถวางไข่ตัวละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1,000-2,000 ฟอง
 

“สำหรับมาตรฐานการรักษา ได้กำชับให้สถานบริการสาธารณสุขในสังกัดทั่วประเทศ เข้มงวดในการตรวจวินิจฉัยโรค เมื่อพบผู้ป่วยที่มีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน ให้นึกถึงโรคไข้เลือดออกด้วย และขอความร่วมมือประชาชนให้ระมัดระวังอย่าให้ยุงกัด นอนในมุ้ง หรืออาจใช้ยาทากันยุง เช่น ตะไคร้หอม หากมีไข้ ให้กินยาลดไข้ประเภทพาราเซตามอล ห้ามกินยาแอสไพรินเด็ดขาด เนื่องจากหากเป็นไข้เลือดออกจะทำให้เลือดออกง่ายและเสียชีวิตได้ หากไข้ไม่ลดและไข้ยังสูงลอยเกิน 2 วัน ขอ ให้พาไปพบแพทย์โดยเร็ว” นพ.ปราชญ์กล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์