แชร์ดอลลาร์โผล่ ยโสธร ใช้วิทยุชุมชนโฆษณาชวนเชื่อ
ลงทุนหุ้นละ 3,800 บาท ได้เงินปันผลวันละ 81 บาท ชาวบ้านหลงเชื่อร่วมทุนเพียบ แต่หลังจากนั้นเงินหายจากบัญชีเกลี้ยง ตร.สอบพบนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งเกี่ยวข้อง พฤติกรรมหลอกลวงชาวบ้านมาร่วมลงทุน ในรูปแบบแชร์ต่างๆ ทั้งแชร์ข้าวสาร-พวงมาลัย-ดาวเทียม ฯลฯ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศเข้ามาดูแลหลายคดี และเคยตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง อย่าตกเป็นเหยื่อกลุ่มต้มตุ๋นเหล่านี้ แต่ยังมีคนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีแชร์ดอลลาร์โผล่ที่ จ.ยโสธร
พ.ต.อ.ชาลี เทพา รักษาการ ผบก.ภ.จว.ยโสธร กล่าวว่า
ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.เศวก โพนทัน รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.ยโสธรลงพื้นที่ เขต อ.เลิงนกทา เพื่อปฏิบัติการเชิงรุกในการสืบสวนขอข้อมูลจากผู้เสียหายในกรณีที่ถูกหลอกให้เอาเงินมาร่วมทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อซื้อดอลลาร์ หรือเรียกกันว่าแชร์ดอลลาร์ ซึ่งมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อกว่า 100 คน
จากการสอบสวนพบว่า
มีการโฆษณาผ่านทางสถานีวิทยุชุมชน ชักชวนให้ร่วมลงทุนซื้อหุ้นดอลลาร์ หุ้นละ 3,800 บาท ผลตอบแทนจะได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยวันละ 81 บาทต่อหุ้น ระยะแรกมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนโอนเข้าบัญชี แต่หลังจากนั้นยอดเงินทั้งต้นและดอกกลับหายไปจากบัญชีจนเกลี้ยง ในข้อมูลทางลึกยังพบว่า เส้นทางการเงินไหลเข้าบัญชีนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งเป็น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก่อนจะถ่ายโอนไปยังบัญชี นายวรวรรธน์ ซึ่งได้มอบหมายให้ร้อยเวร สถานีตำรวจอำเภอเลิงนกทา จ.ยโสธร ออกหมายจับ นายวรวรรธน์ พร้อมพวกอีกอย่างน้อย 3 รายในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนแล้ว
ด้าน พ.ต.ท.ศรัณย์พงศ์ จักษุกรรฐ สารวัตรเจ้าของคดีกล่าวว่า
ชาวบ้านกว่า 100 คน ที่ถูกหลอก นัดรวมตัวกันจะมาแจ้งความเอาผิด ในวันที่ 11 มกราคมนี้ ซึ่งตำรวจจะจัดเตรียมเจ้าหน้าที่รับแจ้งความไว้อำนวยความสะดวกให้แก่ชาวบ้าน หลังจากนั้นจะพิจารณาออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง
นางเปลี่ยน คุณสุด อายุ 45 ปี ชาวบ้านหนองแคนน้อย ต.บุ่งคล้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ผู้เสียหายเล่าว่า
ถูกชักชวนจากกลุ่มดีเจสถานีวิทยุชุมชน ในเขต อ.เลิงนกทา ให้ร่วมลงทุน จึงซื้อ 2 หุ้น รวมเป็นเงินคนละ 7,600 บาท เปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาเลิงนกทาไว้ โดยผู้ชักชวนอ้างว่าจะโอนเงินดอกเบี้ยให้วันละ 600 บาท เมื่อครบวันจึงไปตรวจสอบยอดเงินจากตู้เอทีเอ็ม พบเงินต้นและดอกเบี้ย จำนวน 8,200 บาท แต่วันต่อมาไปกดดู พบว่าเงินในบัญชีหายไปทั้งหมด จึงคิดว่าถูกหลอก เมื่อไปสอบถามเพื่อนบ้านรายอื่นๆ ก็พบว่าเป็นเหมือนกัน
ด้านความคืบหน้าคดีแชร์ยางพาราที่ ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น จับกุม นายอมรเอก เพ็ชรลือชัย อายุ 32 ปี
ประธานกรรมการผู้บริหาร บริษัท ธานินทร์อนันต์ จำกัด และนางปวิตรารัส แก่นจันทร์ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง ประชาชน จากการชักชวนประชาชนร่วมลงทุนทำธุรกิจยางพารา เพื่อแลกกับผลตอบแทนเดือนละ 6-8 เปอร์เซ็นต์ ต่อมา นางปิยาวัตติ์ คำภาษี อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัท ธานินทร์อนันต์ ได้เข้ามอบตัวเพิ่มอีก 1 ราย ขณะที่ยอดผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองขอนแก่น จำนวน 314 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 72 ล้านบาทนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 มกราคม 2551
ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น นายภิญโญ ทองชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบช.สำนักคดีอาญาพิเศษ และ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผอ.ส่วนคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับมอบสำนวนการสอบสวนในคดี "การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน" (แชร์ยางพารา) โดยมี พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น เป็นผู้ส่งมอบ พร้อมกับเปิดแถลงข่าวผลการสอบสวน
พ.ต.อ.ธวัชชัย นิลานุช รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น หัวหน้าชุดสืบสวนคดีแชร์ยางพารา กล่าวว่า
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นได้รับแจ้งจากจังหวัด ให้ตรวจสอบการประกอบธุรกิจของบริษัท ธานินทร์อนันต์ จำกัด ซึ่งดำเนินการในลักษณะแชร์ลูกโซ่ (แชร์ยางพารา) ต่อมาตำรวจภูธรจังหวัดได้รวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจค้นบริษัท ธานินทร์อนันต์ จำกัด ทั้งสาขาเกาะลันตาใหญ่ จ.กระบี่ และสาขาขอนแก่น จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ซึ่งนำตัว นายอมรเอก ฝากขังเป็นนัดที่ 3 ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นหญิงอีก 2 ราย เจ้าหน้าที่ให้ประกันตัวไป มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความทั้งสิ้น 314 ราย รวมมูลค่าประมาณ 72 ล้านบาท
นายภิญโญ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า
ดีไอเอสอาจจะเข้ามาดูเรื่องบุคลากรหรือผู้กระทำผิดร่วมเพิ่มเติม ว่ามีหรือไม่ รวมทั้งจะดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัท ธานินทร์อนันต์ จำกัด ว่ามีการยักย้ายไปยังบุคคลใดบ้าง ก่อนจะส่งสำนวนให้แก่อัยการเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
"ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในคดีแชร์ยางพารา นอกจากจะเป็นการฉ้อโกงประชาชนแล้ว ยังมีความผิดฐานฟอกเงินอยู่ด้วย หากเงินที่ระดมทุนมาจากประชาชนไปอยู่ที่บุคคลใดต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ แล้วนำเงินมาคืน แต่หากใครครอบครองไว้ ปิดบัง ซ่อนเร้น หรือแปรสภาพก็จะมีความผิดฐานฟอกเงินอีกด้วย จึงอยากจะแจ้งเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ให้รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบและนำเงินส่งคืน เพื่อจะได้ทำการเฉลี่ยทรัพย์ให้ผู้เสียหายต่อไป" นายภิญโญ กล่าว