นายประกิต ประทีปะเสน ประธานคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทรายที่มีสมาชิก 46 โรงงาน
เปิดเผยว่า หากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 8 ม.ค. อนุมัติให้มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำตาลทราย โควตา (บริโภคในประเทศ) อีกกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท ในเร็วๆนี้ ก็จะทำให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลมีรายได้เข้ามาในระบบแบ่งปันผลประโยชน์ อีก 2,000 ล้านบาท จากการจำหน่ายน้ำตาล 20 ล้านกระสอบ ซึ่งการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำตาลจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ชาวไร่อ้อยได้รับเงินเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้นเท่านั้น หากจะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนชาวไร่อ้อยในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพและผลผลิตอ้อย ซึ่งปัจจุบันผลผลิตต่อไร่ยังถือว่าต่ำมากและคุณภาพก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ รัฐบาลก็ควรส่งเสริมการใช้เอทานอลอย่างจริงจัง เพื่อจะได้นำโมลาส (กากน้ำตาล) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลมาผลิตเอทานอลให้ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ หากจะแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมอ้อยในระยะยาวอย่างจริงจัง รัฐบาลจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2523 ให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบันและให้เอื้อต่อการแข่งขัน เช่น ควรมีการเปลี่ยนแปลง สัดส่วนระบบแบ่งผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยกับโรงงานน้ำตาลในอัตราตายตัวร้อยละ 70 ต่อ 30 ซึ่งทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาทั้งในภาคชาวไร่ และภาคโรงงาน แต่หากมีความเป็นอิสระต่อกัน และค่อยๆปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดแต่ละส่วนก็จะพัฒนาผลผลิตของตนได้เต็มที่.