ดีเอสไอ นำหมายศาลตามรวบตัว "เสี่ยอู๊ด" หลังเปิดแถลงข่าวเก็บเสื้อผ้าหิ้วกระเป๋าไปรอขึ้นเครื่อง ระบุพฤติกรรมส่อจะหนีออกนอกประเทศจึงต้องควบคมุตัว ด้านเจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯ ให้ข้อมูลการสั่งจอง"พระสมเด็จเหนือหัว" ผ่านไปรษณีย์ไทย-ห้างขายทอง โอนเงินเข้าบัญชีบริษัท "ไดมอนด์"
เมื่อเวลา 21.30น.เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำกำลังพร้อมหมายศาลทำการจับกุมตัวนายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด
ผู้จัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ได้ที่ประตู 4 สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะกำลังเดินทางขึ้นเครื่องบินไปยังประเทญี่ปุ่นโดยสารการบินไทย เที่ยวบินทีจี 640 ซึ่งจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินนาริตะ ในเวลา 22.00น. โดยระบุว่ามีพฤติกรรมที่จะหนีออกนอกประเทศ จึงต้องควบคมุตัวไว้ก่อนและได้นำตัวไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อทำการสอบสวนต่อไป
ก่อนหน้าที่จะถูกจับเมื่อเวลา 17.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ที่ตึกช้าง ถ.รัชดาภิเศก นายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด ประธานบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด เปิดแถลงข่าว กรณีเข้าไปพัวพันกับการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวว่า ได้เข้าไปช่วยพระวิสุทธาธิบดี สร้างพระสมเด็จเหนือหัว โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่จะหักค่าใช้จ่ายหลังจากจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว ส่วนรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะมอบให้มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ เพื่อใชในการสร้างอุโบสถ แต่ถ้าไม่มีรายได้มากพอก็จะสร้างให้โดยไม่คิดจะเอาต้นทุน เพราะตั้งใจที่จะทำบุญ
"ส่วนกระแสข่าวที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทราบมาก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่คิดว่าสื่อมวลชนกำลังโจมตีผม เชื่อว่ามีเบื้องหลัง เพราะมีกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ต้องการให้เกิดขึ้น เนื่องจากพระรุ่นนี้มีการประชาสัมพันธ์ที่ฮือฮา เพราะผมหวังความสำเร็จเป็นเรื่องหลักเพื่อให้ได้เงินจำนวนมาก จะได้ไม่เป็นภาระในโครงการสร้างและบำรุงรักษาอุโบสถ" นายสิทธิกร กล่าว
นายสิทธิกร กล่าวอีกว่า
อุโบสถที่จะสร้างนี้ เท่าที่ทราบจากประธานมูลนิธิ จะสร้างขึ้นในพื้นที่ของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนจะตั้งอยู่หน้าวัดและบดบังทัศนียภาพของวัด จึงหารือกัน ซึ่งประธานมูลนิธิเห็นว่า น่าจะสร้างอุโบสถด้านหน้าเพื่อความสวยงามเด่นสง่า แล้วประธานก็ให้ย้ายโรงเรียนออกจากหน้าวัดไปอยู่ที่ใกล้กัน โดยจะสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ เมื่อสร้างเสร็จก็จะย้ายนักเรียนไปเรียนที่โรงเรียนใหม่ ส่วนที่ดินเก่าที่ว่างลงก็จะสร้างอุโบสถต่อไป
ส่วนงบประมาณในการสร้างอุโบสถหลังนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท
เพราะอยากให้อุโบสถสวยงามเป็นที่พักผ่อนของพุทธศาสนิกชน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยลัยศิลปากร สรุปแบบเป็นจตุรมุขยอดมงกุฎ จากเดิมที่จะสร้างเป็นจตุรมุขยอดประสาท แต่เนื่องต้องขออนุญาตการจัดสร้างจึงเปลี่ยนมาเป็นปราสาท โดยไม่ต้องขออนุญาต
ส่วนสถาปัตยธรรมภายในจะเป็นภาพผนัง ประวัติ กษัตริย์ 2 พระองค์
(ร.8-ร.9 ) สร้างโดยมูลนิธิ เนื่องในโอกาสที่รัชกาลที่ 8 สวรรคตครบ 60 ปี เมื่อ พ.ศ.2549 ซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์ครบ 60 ปี ประธานมูลนิธิเห็นว่า น่าจะทำเป็นการเฉลิมพระเกียรติ โดยประธานมูลนิธิได้รับอาราธนาเข้าพระราชวังเมื่อปีที่แล้ว เพื่อแสดงธรรมเทศนาหน้าพระที่นั่งแล้วได้เครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ 2 ชิ้น เป็นเครื่องกระบะมุขมีตราพระราชลัญจกร (ตราประจำรัชกาล) มีพุ่มเทียนประทับเหรียญครองราชย์ 60 ปี จำนวน 160 เหรียญ
"พุ่มเทียนดอกไม้ ประธานมูลนิธิได้มอบให้ผมจึงนำไปบดผสมเป็นมวลสารในการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว สาเหตุที่มอบดอกไม้มา เพราะดอกไม้เหี่ยวไม่กล้าทิ้ง จึงได้นำมาเป็นมวลสารในการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว" เสี่ยอู๊ด กล่าว
นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า
ไม่วิตกต่อการเสนอข่าวของสื่อมวลชนในช่วงที่ผ่านมา เพราะไม่ได้ผลประโยชน์จากโครงการนี้ แต่คิดว่าเกิดผิดพลาดไปนิดหนึ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีข่าวตรงนี้ การสร้างพระสมเด็จเหนือหัวจะได้เงินจำนวนที่มากมาสร้างอุโบสถและโรงเรียนให้แล้วเสร็จ แต่สิ่งที่วิตกคือเรื่องของบุคคลที่ให้ข่าวว่าฉ้อโกงหลอกลวงก็แล้วแต่ หรือให้ข่าวกับองค์กรที่เปิดให้เช่าบูชาแล้วได้ระงับหรือให้ข่าวแก่ประชาชนที่เช่าบูชาไปแล้วนำมาคืน ตรงนี้ไม่สามารถห้ามได้ แต่อยากตั้งขอสังเกตให้ไปคิดว่าการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวครั้งนี้ ถ้ากระบวนการยุติธรรมสูงสุดชี้แล้วว่าไม่ผิด ใครจะรับผิดชอบที่ได้ให้ข่าว
"เมื่อเกิดข่าวนี่แล้วเกิดผลกระทบกว่าจะถึงการพิสูจน์ขั้นสุดท้ายทุกคนก็หายหมด ที่เคยให้ข่าวและเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดความเสียหาย สุดท้ายก็ไม่พ้นประธานมูลนิธิที่ต้องเป็นภาระในการระดมเงินไปสร้างอุโบสถ และประธานมูลนิธิก็ชราภาพมากแล้ว ผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับใคร ไม่อยากฟ้องร้องใครด้วย เพราะผมมั่นใจว่า ผมทำในสิ่งที่ดีที่สุด แต่อาจไม่ถูกต้องครบทุกประการ มันยากจะควบคุมได้ทั้งหมด เพราะว่าผมไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ผมแค่ได้รับมอบหมายให้กระทำเองเท่านั้น" เสี่ยอู๊ด กล่าว
ส่วนกรณีที่ผู้สั่งจองพระสมเด็จเหนือหัวทางไปรษณีย์จะขอคืนนั้น นายสิทธิกร กล่าวว่า
ให้เป็นไปตามขั้นตอนไม่ได้วิตกอะไร เพราะไม่ได้ผลประโยชน์ การเอาคืนต้องลงชื่อก่อนว่า จะเอาคืนและต้องมีเหตุผลด้วย ไม่ใช่เช่าไปแล้วเอามาคืนได้ทันที เพราะเกิดข่าวไม่ดีไม่ได้ สุดท้ายกระบวนการว่าผิดจริงก็ต้องคืนไป สาเหตุการคืนมี 3 กรณี คือ จัดตั้งให้เกิดข่าว ตามกระแสข่าว และคืนเพราะร่วมกระแสข่าวคนเช่าแล้วไม่มีเงินเอามาคืนตามกระแส
หลังจากที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด กรณีการจัดสร้างวัตถุมงคลพระสมเด็จเหนือหัว ที่มีการใช้ชื่อมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ในการโฆษณาจัดสร้าง และมีการอ้างอิงถึงพระมหามงกุฎและดอกไม้พระราชทานนั้น
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
จากการเข้าสอบถามข้อมูล พระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯ ในฐานะประธานมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ทราบว่า การโอนเงินเข้าบัญชี ของจำนวนเงินการสั่งจองพระสมเด็จเหนือหัว แบ่งเป็น 2 บัญชี โดยยอดสั่งจองผ่านธนาคารทุกแห่งจะโอนเข้าบัญชีของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ เบื้องต้นมียอดเงินประมาณ 6 ล้านบาท ส่วนการสั่งจองผ่านไปรษณีย์ไทยและห้างขายทอง จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด ทั้งหมด แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เสี่ย อ. ได้ติดต่อไปยังห้างร้านทองที่เป็นตัวแทนจำหน่าย และรับสั่งจองให้โอนเงินเข้าบัญชีบริษัทไดมอนด์ ทันที แต่บางร้านปฏิเสธเพราะกลัวประชาชนที่สั่งจองจะนำของมาคืน และต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อน