เปิดรับร้องทุกข์ สมเด็จเหนือหัว

ความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.

นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ว่า ภายหลังหารือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าสำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว พบว่ามีมูลเข้าข่ายความผิดคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษมีภาระหน้าที่เข้าไปร่วมดูแล และดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องขออนุมัติบอร์ดคดีพิเศษ ทั้งนี้ ดีเอสไอและ สคบ. จะร่วมกันเปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษจากประชาชนที่เสียหายจากการจองหรือเช่าที่ สคบ. และสำนักคดีอาญาพิเศษของดีเอสไอ รวมทั้งประสานธนาคารและไปรษณีย์ที่เป็นช่องทางรับจองพระ พิจารณาเรื่องคืนเงินประชาชนที่บอกเลิกสัญญาจองพระดังกล่าวเป็นอันดับแรก
 

นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า

ได้พิจารณาพยานหลักฐาน ข้อกฎหมายเบื้องต้น พบว่าเรื่องนี้เป็นความผิดฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นความผิดตามมูลฐานกฎหมายฟอกเงิน ดีเอสไอสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ เพราะความผิดว่าด้วยกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อยู่ในอำนาจดีเอสไอตาม พ.ร.บ.คดีพิเศษ โดย มาตรา 47 บัญญัติว่า ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจ ผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ โฆษณาหรือใช้ฉลากหรือข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 

“เมื่อนำข้อกฎหมายมาปรับกับพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างพระสมเด็จ ทั้งประเด็นการใช้ตรามหาพิชัยมงกุฎหรือการระบุได้นำมวลสารที่ได้รับพระราชทานมาจัดสร้าง แต่ทางสำนักพระราชวังแถลงการณ์ ปฏิเสธว่าไม่ได้มีพระบรมราชานุญาตให้นำมาใช้ อาจทำให้ คนเข้าใจผิดในสาระสำคัญของสินค้า เข้าข่ายข้อกฎหมายดังกล่าว อีกทั้งยังเข้ามาตรา 48 หากมีผู้เสียหายเกิน 50 คน และมูลค่าความเสียหายเกิน 500,000 บาท” นายสุนัยกล่าว



นายสุนัยกล่าวด้วยว่า ได้มอบหมายให้สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพ
 
พร้อมให้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนวางแนวทางจะต้องไปพบหรือสอบปากคำใคร พิจารณาโฆษณาทั้งในสื่อและที่ติดไว้ตามที่สาธารณะจะต้องรื้อถอนหรือไม่ ถ้าสรุปว่าผิด ต้องเก็บโฆษณาทั้งหมด และอาจต้องไปพบเจ้าอาวาสวัด สุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้อย่างไรแค่ไหน ส่วนประชาชนผู้ได้จ่ายเงินจองพระสมเด็จ อย่าตื่นตระหนก ธนาคารได้เก็บเงินทั้งหมดไว้  อีกทั้งดีเอสไอได้ตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ในลักษณะเดียวกับคดีแชร์ลูกโซ่ ขอให้ประชาชนแจ้งชื่อที่อยู่ มูลค่าความเสียหาย และข้อเท็จจริง ส่วนแนวทางการสอบสวนคงสอบผู้เสียหายเฉพาะรายใหญ่ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบองค์ประกอบความผิด โดยรายชื่อผู้เสียหายที่เหลือจะเก็บไว้ใช้เมื่อมีการจ่ายเงินคืน
 

นายนิโรธ เจริญประกอบ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เผยว่า

วันที่ 25 ธ.ค. นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการ สคบ. เป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการติดตามสอดส่องและวินิจฉัย โดยจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณา และรับจองพระสมเด็จเหนือหัวมาชี้แจง ให้รู้ชัดว่าใครเป็นผู้ดำเนินการสร้าง สำหรับผู้ถูกเชิญ ประกอบด้วยตัวแทนของธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทไปรษณีย์ ไทย จำกัด ร้านทองต่างๆ ที่ถูกอ้างอิงเป็นที่รับจองและจ่ายเงิน รวมทั้งตัวแทนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ มาสอบ ถามว่าในที่สุดแล้ว เงินที่ประชาชนสั่งจองเข้าไปอยู่ในบัญชีผู้ใด อีกทั้งจะได้เชิญตัวแทนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ลงโฆษณารับจอง ให้รู้ว่าใครเป็นผู้สั่งทำโฆษณา เพราะในโฆษณาไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนสร้าง
 

นายนิโรธกล่าวต่อว่า เชื่อว่าผู้จัดสร้างสมเด็จเหนือหัว อาจเกี่ยวพันกับกลุ่มเดียวที่เคยจัดสร้างจตุคามรามเทพ

พอจตุคามรามเทพอยู่ในขาลง ก็หันมาสร้างสมเด็จเหนือหัว โดยมีการกล่าวอ้างแบบไม่ถูกต้อง เป็นการฉวยโอกาสจากศรัทธาของประชาชน โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ฐานะกำกับดูแล สคบ. สั่งการให้ตรวจสอบและดำเนินการเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา โดยการเอาผิดกับผู้สร้างสมเด็จเหนือหัว ในส่วนของ สคบ. ถือว่าเป็นการกระทำความผิดโทษฐานโฆษณาเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกเหนือไปจากส่วนของดีเอสไอ ที่จะดำเนินคดีอาญาโทษฐานฉ้อโกงประชาชนด้วย


นายวุฒิพงษ์ โมฬีชาติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เผยว่า

ในฐานะที่ไปรษณีย์ไทยเป็นตัวแทนให้เช่าพระ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไปรษณีย์ เพราะเป็นเพียงคนกลางทำหน้าที่จำหน่ายพระเท่านั้น ส่วนเรื่องการคืนเงิน ต้องรอความชัดเจนจากบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมถึงขอความชัดเจนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย อย่างไรก็ตาม นับแต่เกิดเรื่อง ไม่มีใครมาจองพระสมเด็จเหนือหัวจากไปรษณีย์อีก ทราบว่า มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ จะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 ธ.ค. ส่วนเรื่องคืนเงินให้ผู้ที่จองหรือเช่าผ่านไปรษณีย์ ทำได้ยาก เพราะไม่มีรายละเอียดของผู้มาเช่าหรือจอง มีเพียงใบเสร็จที่ไม่ได้ระบุชื่อ ที่อยู่ ดังนั้น เรื่องการคืนเงินน่าจะเป็นเรื่องของมูลนิธิ หรือบริษัท ไดมอนด์ฮิลล์ จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินการแทนมูลนิธิ ทั้งนี้ ไปรษณีย์ได้รับพระสมเด็จมาเปิดให้เช่า 600,000 องค์ โดยเปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. จนถึงปัจจุบัน เช่าไปแล้ว 140,000 องค์ คิดเป็นเงิน 140 ล้านบาท โดยไปรษณีย์ไทยได้รับส่วนแบ่ง 20%


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์