ความคืบหน้าการตรวจสอบการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 ธ.ค. นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จะขอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ลงมติรับเรื่องนี้ไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อให้ดีเอสไอเข้าดำเนินการ เนื่องจากภายหลังตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้วได้ว่า เป็นเรื่องฉ้อโกงประชาชน แต่ไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของดีเอสไอ ดังนั้น ต้องขออนุมัติบอร์ดทำคดี อย่างไรก็ตาม เรื่องฉ้อโกงประชาชนเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน การสืบสวนสอบสวนต้องทำให้เห็นว่ามีผู้เสียหายถูกฉ้อโกง มีการแสดงข้อความเป็นเท็จ มีการแจ้งข้อความให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จึงต้องสอบประชาชนว่า ถ้าทราบว่าทางสำนักพระราชวังไม่เกี่ยวข้อง จะยังเช่า พระนี้หรือไม่ ถ้าประชาชนบอกว่า ถ้าทราบว่าไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต จะไม่เช่า ก็แสดงว่าถูกฉ้อโกง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต จะเป็นความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยหรือไม่
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษตอบว่า คงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยทั่วไปมองว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนว่า การจัดสร้างครั้งนี้ได้รับพระบรมราชานุญาต และนำเงินรายได้เข้ามูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ อยากร่วมทำบุญกุศล เรื่องนี้เป็นอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ดีเอสไอจะขอโอนคดีมาดำเนินการต่อไป โดยภายในสิ้นปีนี้ จะเรียกประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อรับกรณีการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวมาเป็นคดีพิเศษโดยเฉพาะ พร้อมเร่งรัดการสอบสวนให้เร็วที่สุด ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการตรวจสอบกรณีมีการใช้ตราพระมงกุฎประทับหลังองค์พระ หรือกรณีผู้จัดสร้างระบุว่าได้รับดอกไม้ พระราชทานเป็นมวลสารได้ข้อสรุปหรือยังว่ามีการขออนุญาตจากสำนักพระราชวัง นายสุนัยตอบว่า ต้องรอการตรวจสอบ แต่เป็นวิธีการทำให้การจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวดูมีความศักดิ์สิทธิ์ เข้าข่ายหลอกลวงประชาชนว่ามีมวลสารพิเศษ ต้องให้เช่าพระในราคาที่แพงขึ้น
ด้าน พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า
ได้ประสานกับสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง มาตลอดโดยท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง มอบหมายให้ ผอ.กองนิติกร สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง ตรวจสอบเอกสาร รวบรวมข้อมูลต่างๆ ทั้งโปสเตอร์ แผ่นพับ หรือข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อมวลชน เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกัน พร้อมทั้งให้ศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ว่าสามารถจะดำเนินการกับผู้กระทำผิดอย่างไร ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้วเชื่อว่า ผอ.กองนิติกร สำนักราชเลขาธิการ จะสรุปเสนอผู้ใหญ่ของสำนักราชเลขาธิการ พิจารณาตัดสินใจว่าจะส่งเรื่องให้หน่วยงานใดเป็นผู้ดำเนินการ เพราะยังไม่ได้ ตัดสินใจว่าจะส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือกรมการศาสนา คาดว่าจะทราบผลในวันนี้