นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า
ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเป็นจำนวนมากว่าการปรับขึ้นราคาสินค้า ไม่เป็นไปตามต้นทุนที่ได้รับผลกระทบจริง เช่น ต้นทุนขึ้น 50 สตางค์ แต่ปรับขึ้นราคา 1-2 บาท โดยอ้างว่าปัจจุบันไม่ใช้เหรียญสตางค์แล้ว รวมทั้งใช้เป็นข้ออ้าง กรณีไม่มีเงินทอน และใช้สินค้าอื่นทอนแทนเหรียญสตางค์ เช่น ลูกอม ทำให้ราคาสินค้าสูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น กรมฯจึงได้จัดทำโครงการพาณิชย์ส่งเสริมคุณค่าของเหรียญสตางค์ เพื่อให้คนไทยหันมานิยมใช้เหรียญสตางค์ในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเหรียญ 50 สตางค์ 25 สตางค์ ประกอบกับปีหน้า กรมฯจะอนุมัติให้ราคาสินค้าขึ้นเป็นสตางค์ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการจะได้ไม่มีข้ออ้าง ในการขอปรับราคาเกินความจำเป็น
อย่างไรก็ตามในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ กรมฯจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางรณรงค์ใช้เหรียญสตางค์ ให้มีคุณค่ามากขึ้น
เช่น กรมธนารักษ์ ผู้จำหน่ายสินค้า ห้างสรรพสินค้า สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย หอการค้าไทย กรมขนส่งทางบกกลาง สมาคมภัตตาคารไทย และจะจัดทำบันทึกความตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) ร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ1.ระหว่างกรมการค้าภายใน กับกรมธนารักษ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าจะมีเหรียญสตางค์เพียงพอกับความต้องการใช้ และการปรับราคาสินค้า รวมถึงค่าโดยสารประจำทางเป็นหน่วยสตางค์ดำเนินการได้โดยไม่มีปัญหาความขาดแคลนเหรียญที่จะใช้ทอน 2.ระหว่างกรมการค้าภายใน กับสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย เพื่อให้ผู้ค้าปลีกนำเหรียญสตางค์มาใช้ทอนค่าสินค้าตามราคาที่เป็นจริง
“หากการปรับราคาสินค้าขึ้นเป็นเศษสตางค์ จะไม่กระทบต่อเงินเฟ้อให้สูงเกินความจริง
ตอนนี้เราอยากมุ่งไปที่อาหารสำเร็จรูปก่อน เพราะตอนนี้มักจะปรับราคาทีเดียว 5 บาท สูงกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาก”