กรณี ด.ช.ชาตรี นัดดา หรือน้องบุตร อายุ 11 ขวบ นักเรียน ชั้น ป.4 ร.ร.บึงสีไฟ ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร เขียนจดหมายยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพึ่งพระบารมีจากพ่อหลวงของแผ่นดิน ขอพระราชทานทุนการศึกษาและที่พัก เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนและแร้นแค้น พ่อหาเช้ากินค่ำ ส่วนแม่สติไม่สมประกอบ และยังมีพี่น้องอีก 2 คน ทำให้ ด.ช.ชาตรี ต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง เพราะต้องไปรับจ้างทำงานหารายได้มาจุนเจือครอบครัว
กระทั่งความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ
และทางสำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือถึงนายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิจิตร ให้หาหนทางคลี่คลายปัญหาและช่วยเหลือครอบครัว ด.ช.ชาตรี พร้อมรายงานให้ทราบโดยด่วน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ต่อไป พระมหากรุณาธิคุณจากน้ำพระราชหฤทัยครั้งนี้ ยังความปลาบปลื้มให้กับครอบครัวเด็กชายตัวเล็กๆ ตลอดจนพสกนิกรชาวไทยที่ได้ทราบข่าว เนื่องจากระหว่างมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้จะทรงพระประชวร แต่พระองค์ก็มิทรงทอดทิ้งข้าแผ่นดินผู้ทุกข์ยากแต่อย่างใด
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 พ.ย.
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 5 ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร บ้านของ ด.ช.ชาตรี นัดดา เด็กน้อยผู้ยากไร้ที่ปลูกสร้างอยู่กลางทุ่งนา พบเป็นกระต๊อบโทรมๆ ประกอบขึ้นจากเศษไม้ กระเบื้องเก่า และสังกะสีผุๆ ที่พอจะหาได้ตามมีตามเกิด พื้นและผนังแหว่งเป็นรู สภาพใกล้จะพังมิพังแหล่ ภายในกระต๊อบไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแม้แต่ชิ้นเดียว ที่มุมห้องมีเพียงกองผ้าห่มและหมอนมุ้ง เก่าๆ ขาดๆ เหม็นอับ ซึ่งเด็กเก็บมาจากกองขยะไว้ห่มคลายหนาวเท่านั้น
เมื่อไปถึงพบ ด.ช.ชาตรี พร้อมด้วย ด.ญ.บุษบา นัดดา อายุ 13 ปี พี่สาว
นักเรียนชั้น ป.6 และ ด.ช.สายชล นัดดา อายุ 9 ขวบ น้องชาย นักเรียน ชั้น ป.3 ซึ่งทั้ง 3 พี่น้องเรียนอยู่ ร.ร.บึงสีไฟ กำลังแต่งตัวเตรียมไปเรียนหนังสือ โดยทั้งหมดอยู่ในชุดพลศึกษา เสื้อยืดแขนสั้นสีบานเย็น กางเกงวอร์มขายาวสีน้ำเงินเข้ม ส่วนนายแจ่ม นัดดา อายุ 34 ปี และนางสายฝน นัดดา อายุ 36 ปี พ่อและแม่ ได้ออกจากที่พักเพื่อไปรับจ้างเกี่ยวข้าวตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว
หลังแต่งตัวเสร็จ 3 พี่น้องได้เข้าไปก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงอุ้มคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ที่ใส่กรอบแขวนไว้บนฝาผนังกระต๊อบ ซึ่งเป็นกิจวัตรก่อนออกไปเรียนทุกวัน ด.ช.ชาตรีกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้าว่า “เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้น ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตาของในหลวงที่ช่วยครอบครัวผมให้มีชีวิตใหม่” จากนั้น 3 พี่น้องพากันขี่จักรยานเก่าๆ ซ้อนท้ายกันไปโรงเรียน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 3 กม. โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนงติดตามไปทำข่าวอย่างใกล้ชิด เมื่อไปถึงโรงเรียน 3 พี่น้องได้ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประดิษฐานไว้บนชั้น 2 ของอาคารเรียน ก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เวรประจำวัน
นายไพฑูรย์ รอดศรีธรรม ผอ. ร.ร.บึงสีไฟ กล่าวว่า
วันนี้ตั้งแต่เช้ามีรายการโทรทัศน์หลายรายการ โทรศัพท์ ติดต่อเข้ามาเพื่อขอรับเด็กทั้ง 3 คนไปออกรายการที่สถานีโทรทัศน์ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ได้อนุญาตให้ 3 พี่น้องไปออกรายการสยามทูเดย์ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เพราะติดต่อเข้ามาก่อน โดยมีนางลมัย สังฆรินทร์ ครูประจำชั้น ป.4 ซึ่งเป็นชั้นเรียนของ ด.ช.ชาตรี เป็นผู้ควบคุมไป ขณะนี้ทางโรงเรียนได้เปิดบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาพิจิตร เลขที่บัญชี 610-0-197758 ชื่อบัญชี ด.ช.ชาตรี นัดดา เพื่อไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับ ด.ช.ชาตรี โดยมีตน นายณัฐชัย เพชรอำไพ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าหลวง และพระบุญเลิศ ปภาโต เจ้าอาวาสวัดบึงสีไฟ ร่วมเป็นกรรมการดูแลการเบิกจ่าย
ต่อมาเวลา 11.00 น. รถตู้ของรายการสยามทูเดย์ มารับเด็กทั้ง 3 คน ไปพร้อมกับนางลมัย สังฆรินทร์ ครูประจำชั้น ป.4
เพื่อไปสัมภาษณ์ออกรายการสด ในเวลา 18.00 น.วันเดียวกัน โดย 3 พี่น้องมีอาการตื่นเต้น ดีใจที่จะได้เดินทางไปกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกในชีวิต ขณะเดียวกัน มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก ติดต่อมาที่โรงเรียน เพื่อจะขอบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับครอบครัวของ ด.ช.ชาตรี แต่เมื่อทราบว่า วันนี้ 3 หนูน้อยไปบันทึกรายการโทรทัศน์ จึงขอเลื่อนไปเป็นวันอื่น
นายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิจิตร เปิดเผยว่า
ขณะ นี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 สำนักพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัดพิจิตร และแรงงานจังหวัดพิจิตร หาทางช่วยเหลือด้านทุนการศึกษา รวมทั้งหาอาชีพให้พ่อแม่ของ ด.ช.ชาตรี สำหรับที่พักอาศัยได้มอบหมายให้ทาง อบต.ท่าหลวง รับไปดำเนินการ ถมดินก่อสร้างในที่ราชพัสดุ และให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 5 ธ.ค.นี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ผมรับปากว่าจะดูแล 3 พี่น้องให้ เหมือนคนในครอบครัว และจะพยายามหาทุนการศึกษามาให้พวกเขาได้เรียนหนังสือให้ได้สูงที่สุดเท่าที่เขาต้องการ” ผวจ.พิจิตรกล่าว
นายวิวัฒน์ ฉ่ำฟ้า ปลัด อบต.ท่าหลวง กล่าวว่า
ทาง อบต.ท่าหลวง ได้ประชุมสภา อบต.ท่าหลวง เพื่ออนุมัติงบประมาณ 120,000 บาท สร้างบ้านพักให้ครอบครัว ด.ช.ชาตรี ตามโครงการ “บ้านท้องถิ่นไทย เทิดไท้องค์ ราชัน เฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 80 พรรษา” เป็นบ้านขนาด 4 คูณ 6 เมตร ชั้นเดียว ยกพื้น ใต้ถุนสูง และจะก่อสร้างเสร็จก่อนวันที่ 5 ธ.ค.นี้ อย่างแน่นอน
ต่อมาเวลา 18.00 น. หนูน้อย 3 พี่น้องพร้อม ครูประจำชั้น เดินทางไปให้สัมภาษณ์ในรายการสยามทูเดย์ ทางทีวีช่อง 5
โดย ด.ช.ชาตรี นัดดา หรือน้องบุตร เล่าถึงสาเหตุที่ต้องเขียนจดหมายยื่นถวายฎีกาต่อพ่อหลวงของแผ่นดิน เพราะที่บ้านลำบากมาก เมื่อพิธีกร ถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าต้องเขียน น้องบุตรตอบว่า “ไปบ้านป้า แล้วดูทีวี เห็นในทีวีเป็นต้นแบบ เป็นรายการหนึ่ง ที่เขาสร้างบ้านเทิดพระเกียรติให้ในหลวง ตอนเขียนก็หวังว่าในหลวงจะพระราชทานบ้านให้ด้วย ผมใช้เวลาเขียน 1 วัน จากนั้นนำไปส่งที่ไปรษณีย์ เมื่อได้ทราบว่า ผมได้รับพระเมตตา รู้สึกดีใจมาก ผมอยากได้บ้าน”
ด้านนางลมัย สังฆรินทร์ ครูประจำชั้นของ ด.ช. ชาตรี บอกว่า
น้องบุตรเข้ามาหาว่า ผมอยากมีบ้าน ครู จึงให้ลองเขียนดู แต่จะขอได้หรือไม่ได้นั้น ครูไม่รับรอง แต่ให้เขียนไปตามความเป็นจริง ลึกๆตนมั่นใจว่าน้องบุตรจะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะน้องบุตรลำบากจริงๆ
“น้องบุตรเคยเป็นลม ปวดท้อง เมื่อมาถึงโรงเรียนในตอนเช้า เมื่อสอบถามเขาบอกว่า ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เย็นวาน จนเช้าก็ยังไม่ได้กิน เพราะให้คนในบ้านกินหมด ตัวเองยอมอด และอดจนเป็นประจำจนกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร นับว่าเป็นเด็กที่เสียสละทุกอย่างได้เพื่อคนอื่น” ครูของน้องบุตรกล่าว
นางลมัยยังเล่าด้วยว่า
เหตุที่ฝาบ้านของน้องบุตรเป็นรู พื้นบ้านเป็นร่องๆ เพราะแม่เอาซี่ไม้ไปใช้ก่อไฟ หุงข้าว เนื่องจากฝนตกทำให้ออกไปหาฟืนมาก่อไฟไม่ได้ เด็กทั้ง 3 คนเคยชินกับความลำบาก ทำให้ 3 พี่น้องเป็นคนไม่ค่อยพูด เหตุเพราะมีอะไรไม่เหมือนเพื่อน ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออก กลายเป็นคนนิ่งไม่พูดจา โดยเฉพาะพี่สาวของบุตรนั้นไม่พูดอะไรเลย
ขณะที่ ด.ช.สายชล นัดดา อายุ 9 ขวบ น้องชาย บอกด้วยความไร้เดียงสาว่า “ถ้ามีข้าว พี่ชายจะให้ข้าวกับผมและพี่สาวกินก่อน ส่วนพี่บุตรจะกินเป็นคนสุดท้าย” ท้ายรายการ น้องบุตรบอกว่า แม่ทำงานหนักไม่ได้ จะมีอาการหอบ ตนจึงต้องทำงานทุกอย่าง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว “ขอขอบคุณในหลวงมากครับที่ช่วยครอบครัวกระผม” หนูน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ