นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า
จากการประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันหรือโอเปกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โอเปกได้ออกมาเตือนว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งไปถึงระดับ 200 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งปัจจัยจะมาจากกรณีที่สหรัฐฯประกาศสงครามบุกอิหร่าน ขณะที่นักวิเคราะห์ราคาน้ำมันก็ยอมรับว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่โอกาสราคาน้ำมันดิบอาจแตะถึง 200 เหรียญฯได้เช่นกัน ซึ่งไม่เพียงแต่ราคาน้ำมันจะแพงเท่านั้น แต่อาจมีผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันดิบไปในทั่วโลกอีกด้วย เนื่องจากหากมีการปิดเส้นทางขนส่งในช่องแคบเฮอมุสในตะวันออกกลางซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบกัน จะมีผลให้น้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลก 15 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นการผลิต 20% ของโลก ดังนั้น คนไทยควรต้องใช้อย่างประหยัดในการใช้น้ำมัน
“เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้แตะ 100 เหรียญฯ ก็เกิดขึ้นให้เห็นกันแล้ว น้ำมันดิบ 200 เหรียญต่อบาร์เรล ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดไม่ได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเท่ากับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยอาจพุ่งไปที่ระดับ 40-60 บาทต่อลิตร ผมอยากถามว่าถ้าเกิดจริงคนจะใช้น้ำมันกันอีกหรือไม่ ซึ่งก็ต้องใช้อยู่ดีเพราะซื้อรถยนต์กันมาแล้ว ดังนั้น การแก้ไขปัญหาด้วยการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อเสนอของหลายฝ่าย ก็ช่วยแค่บรรเทาปัญหาในช่วงสั้นๆเท่านั้น และทำให้ไม่เกิดการประหยัด แต่ใช้มากขึ้น แต่หากมีการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนน้ำมันจะเห็นได้ว่าปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศก็ลดลง เช่นใน 9 เดือนแรกของปีนี้ มีการนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลอดปีนี้ไทยจะนำเข้าน้ำมันทุกชนิดรวม 800,000 ล้านบาท”
สำหรับราคาขายปลีกของไทยสัปดาห์นี้ อาจมีการปรับขึ้นราคาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะให้ภาครัฐลดเงินที่จัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันจากผู้ใช้ดีเซลอีกครั้งหนึ่งหรือเป็นรอบที่ 3 จากที่ลดไปแล้ว 2 รอบหรือไม่นั้น คงต้องขอรอดูราคาดีเซลที่สิงคโปร์ สัปดาห์นี้ ก่อนตัดสินใจว่าจะลดการจัดเก็บหรือไม่ จากที่ลดไปแล้วรวม 60 สตางค์ต่อลิตร