วิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ทำให้ตกงาน
ไม่มีรายได้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์ญาติเลขานุการ นายกฯ นำมาเป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมในการก่อคดีอาชญากรรม
"ผมเรียนจบแค่ ม.3 โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี หลังจบแล้วได้ตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงโชคที่ กทม.แต่แล้วก็เหมือนเดิม ยิ่งหางานนานเท่าไรคำตอบก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับผม เพราะผมเรียนมาน้อย เงินที่นำติดตัวมาก็ร่อยหรอลงทุกที กระทั่งไม่มีเงินติดกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว"
วิกฤติเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ทำให้ประชาชนจำนวนหลายแสนคนไม่มีงานทำซึ่งการไม่มีงานทำ
ทำให้ขาดรายได้ เมื่อไม่มีรายได้ก็ไม่มีปัจจัยที่จะไปใช้ในการดำรงชีวิต ประกอบกับสภาพสังคมที่เป็นแบบวัตถุนิยม เห่อเหิมไปกับแสงสีและความบันเทิง ทำให้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยกลายไปเป็นมิจฉาชีพ เห็นได้จากสถิติอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะนี้
นายพีระพงษ์แซ่เซียว อายุ 24 ปี นายกฤษฎา แซ่ตั๊น อายุ 25 ปี และ นายสุรศักดิ์ ผิวนา อายุ 24 ปี ชาวอำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อวิกฤติของสังคม หลังจากหาทางออกให้ชีวิตโดยการตั้งแก๊ง ตระเวนลักทรัพย์ตามเคหสถานของบุคคลอื่น
4 ปีเต็มที่คนกลุ่มนี้ตระเวนไปตามหมู่บ้านในเขต กทม. เพื่อหาโอกาสขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ได้ทรัพย์สินมากว่าสิบล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้มาอย่างง่ายดาย ทำให้เกิดความย่ามใจ หลงระเริงไปกับจิตใจด้านมืดของตัวเอง กระทั่งกรรมตามทัน พวกเขาถูกตำรวจ สน.หัวหมาก จับกุมได้ในที่สุด
เหยื่อรายสุดท้ายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินให้แก๊งลักทรัพย์กลุ่มนี้คือนางดวงพร เบี้ยวไข่มุก
ซึ่งเป็นญาติ พล.ท.นิลนาท เบี้ยวไข่มุก เลขานุการส่วนตัว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่3 ตุลาคม นายพีระพงษ์และพวก แอบเข้าไปภายในบ้านพักเลขที่ 33/999 หมู่ 10 หมู่บ้าน ต.รวมโชค ซอย 33 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ของนางดวงพร แล้วขโมยทรัพย์สินมีค่า ได้แก่ทองรูปพรรณ และเครื่องเพชร มูลค่ากว่า 1 ล้านบาทไป แม้หลังก่อเหตุทั้งสามคนได้วางแผนหลบหนีการจับกุมเป็นอย่างดีแต่สุดท้ายพวกเขาก็หนีไม่รอดเงื้อมมือกฎหมาย
หลังถูกจับกุมนายพีระพงษ์ยอมเปิดปากพูดคุยกับ "คม ชัด ลึก" ระหว่างถูกควบคุมอยู่ในห้องขัง สน.โชคชัย ถึงต้นสายปลายเหตุที่ต้องเบนเข็มชีวิตสู่เส้นทางสายโจรว่า
เพราะหางานทำไม่ได้ ไม่มีเงินใช้จ่ายในการดำรงชีวิต จึงจำเป็นต้องไปตระเวนลักทรัพย์
"ผมเรียนจบแค่ ม.3 โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี หลังจบแล้วตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงโชคที่ กทม.แต่แล้วก็เหมือนเดิม ยิ่งหางานนานเท่าไรคำตอบก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับผม เพราะผมเรียนมาน้อย เงินที่นำติดตัวมาก็ร่อยหรอลงทุกที กระทั่งไม่มีเงินติดกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว" นายพีระพงษ์กล่าว
เขาบอกด้วยว่าระหว่างที่เตร็ดเตร่หางานผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งในตอนกลางวัน ส่วนใหญ่ไม่มีคนอยู่บ้าน
บรรยากาศภายในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบ ไม่พลุกพล่าน จึงตัดสินใจปีนเข้าไปภายในบ้านหลังหนึ่งเพื่อลักทรัพย์ โดยก่อนปีนเข้าบ้านหลังดังกล่าว ลองกดกริ่งที่หน้าบ้าน จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่ภายในบ้านอย่างแน่นอน
เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากการสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลอื่นนอกจากจะหมดไปกับการจับจ่ายใช้สอยหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแล้วยังถูกละลายไปกับการเสพแสงสีในยามค่ำคืนในสังคมเมืองหลวงสถานบันเทิงดังย่านรัชดาภิเษก เป็นสถานที่หลักที่ดูดเม็ดเงินที่ได้จากการโจรกรรมทรัพย์สินบุคคลอื่นของนายพีระพงษ์
"ตอนนั้นผมมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมจึงตระเวนเที่ยวเตร่ตามสถานบันเทิงต่างๆ แทบทุกแห่ง เมื่อเงินหมดผมก็ไปลักทรัพย์ตามบ้านเรือนคนอื่นเขามาอีก โดยว่าจ้างรถแท็กซี่ให้เข้าไปส่งในหมู่บ้านต่างๆ เมื่อได้บ้านที่ดูแล้วว่ามีฐานะก็จะปีนเข้าไปลักทรัพย์ทันที มีบ้างบางบ้านที่เมื่อผมปีนเข้าไปแล้วพบเจ้าของอยู่ ผมก็จะอ้อนวอนไม่ให้เขาเอาเรื่อง กระทั่งเขาใจอ่อนปล่อยผมมา" นายพีระพงษ์ กล่าว
ทรัพย์สินที่โจรกรรมมาส่วนใหญ่นายพีระพงษ์จะนำไปขายต่อให้นายเศกฤทธิ์ มะลิวัลย์
เจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องดนตรี โดยรู้จักครั้งแรกตอนนำกีตาร์ที่โขมยมาได้ไปขายให้ ทั้งนี้นายเศกฤทธิ์ไม่ได้ระแวงว่ากีตาร์ตัวดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการขโมย เพราะนายพีระพงษ์อ้างว่า เขาซื้อกีตาร์ตัวดังกล่าวต่อมาจากเพื่อน
"เศกฤทธิ์ เขาไม่สงสัยว่าผมเป็นขโมย เพราะผมอ้างว่าผมชอบดนตรี กีตาร์ทุกตัวที่นำไปขายให้ก็ซื้อต่อมาจากเพื่อน เมื่อไปหาเขาบ่อยเข้าก็เกิดความสนิทสนม ระยะหลังแม้กระทั่งผมขอยืมรถยนต์เขาก็ให้" นายพีระพงษ์ ระบุ
หลังจากโจรกรรมทรัพย์สินของบุคคลอื่นอยู่ระยะหนึ่งกระทั่งพอมีเงินมีทองมาบ้าง ก็ได้เดินทางกลับ อ.พนัสนิคม
ซึ่งการกลับบ้านครั้งนั้นทำให้นายพีระพงษ์ มีโอกาสพบกับนายกฤษฎา และนายสุรศักดิ์ ซึ่งกำลังตกงาน จึงชักชวนให้เข้ามาเสี่ยงโชคด้วยกันที่ กทม. ระหว่างที่อยู่ด้วยกันนายพีระพงษ์ ดูแลเพื่อนทั้งสองคนเป็นอย่างดี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งค่ากินค่าอยู่ หรือแม้กระทั่งค่าเที่ยว กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนทั้งสองได้เอ่ยปากถามถึงแหล่งที่มาของเงินที่นายพีระพงษ์นำมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ นายพีระพงษ์จึงยอมรับกับเพื่อนว่า ได้มาจากการลักทรัพย์ แต่แทนที่นายกฤษฎาและนายสุรศักดิ์จะตักเตือนนายพีระพงษ์ ให้เลิกอาชีพดังกล่าวเสียก็หาไม่ ทั้งสองกลับสนับสนุนและเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของนายพีระพงษ์ แถมยังเข้าร่วมโจรกรรมทรัพย์สินกับนายพีระพงษ์อีกด้วย
ส่วนนายเศกฤทธิ์ระยะหลังก็ทราบว่านายพีระพงษ์ มีพฤติการณ์ลักทรัพย์ตามบ้านเรือนของชาวบ้าน
แต่ด้วยความที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเสียแล้ว นายเศกฤทธิ์ ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพื่อน แต่กลับสนับสนุนยุยง โดยการบอกให้นายพีระพงษ์และเพื่อนที่เหลือระมัดระวังว่าทรัพย์สินที่ได้จากการขโมยอาจเป็นของปลอม โดยเฉพาะทอง และเพชร "เศกฤทธิ์แนะนำให้ผมนำเครื่องชั่งน้ำหนักทองระบบดิจิทัล และเครื่องตรวจสอบเพชรติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ปีนบ้านคนอื่น เพื่อใช้ตรวจสอบทรัพย์สินว่าเป็นของแท้แน่นอน ซึ่งมันได้ผลอย่างดี เมื่อได้ทรัพย์สินมีค่าเหล่านั้นมาแล้วผมก็จะนำไปขายให้เศกฤทธิ์ ซึ่งนายเศกฤทธิ์ ก็จ่ายเป็นเงินสดให้ทันทีไม่เคยปฏิเสธการรับซื้อ" นายพีระพงษ์กล่าวต่อผู้สื่อข่าว
เงินสดที่ได้หลังจากการแบ่งสันปันส่วนกันแล้วนายพีระพงษ์นำไปใช้ในการส่งเสียแฟนสาวให้เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง และยังใช้ในการเช่าบ้านหลังโตราคาเดือนละ 2.8 หมื่นบาท ซื้อรถยนต์โตโยต้าวีออสรุ่นใหม่มาขับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของแฟนสาวและเพื่อนๆ