ให้สัมภาษณ์กรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายสมิทธิ์ โนนเสนา แพทย์เก๊ ที่ทำบัตรปลอมเป็นแพทย์ รพ.ดัง ไปสมัครงานที่คลินิกย่านปากซอยเจริญนคร 62 เขตธนบุรี แต่ความแตกเมื่อแพทย์เจ้าของชื่อตัวจริง รับคนไข้หนักถูกส่งตัวมาจากคลินิกดังกล่าว มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โดยมีชื่อตัวเองเป็นเจ้าของไข้ เลยแจ้งตำรวจจับ ว่า ผู้ต้องหาที่อ้างตัวว่าเป็นแพทย์ เป็นคนเดียวกับที่เคยถูกตำรวจจับ และแพทยสภาได้แจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการประกันตัวไป และไปก่อเหตุซ้ำ โดยก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาอ้างชื่อ นพ.สมิทธิ์ โรซาร์พิทักษ์ มาครั้งนี้อ้างชื่อ นพ.เดชพร พุทธิวรา ดังนั้นแพทยสภาจะมอบหมายให้นิติกรไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอีกครั้ง เพราะเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน
เลขาธิการแพทยสภา กล่าวต่อว่า
สำหรับข้อหาของบุคคลที่มิใช่แพทย์แต่กระทำการให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และทำการประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยที่ไม่ได้เป็นแพทย์ และใช้ชื่อนำหน้าว่า “นายแพทย์” ซึ่งเป็นการเข้าข่ายกระทำความผิด พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และโทษปรับอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาข้อหา ฉ้อโกงประชาชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการดูแลกำกับมาตรฐานการประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ต่อข้อถามว่า
จะมีวิธีการป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาไปแอบอ้างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ได้อย่างไร นพ.อำนาจ กล่าวว่า แพทยสภาจะทำหนังสือขอความร่วมมือไปยัง รพ.เอกชนเป็นรอบที่ 2 เพื่อเข้มงวดในการรับแพทย์เข้าทำงาน ขณะเดียวกันจะประสานไปยังกองการประกอบโรคศิลปะ เพื่อขอความร่วมมือคลินิก ให้เข้มงวดในการรับแพทย์เข้าทำงานด้วย และขอฝากไปยัง ประชาชน หากไม่มั่นใจว่าผู้ให้บริการรักษาเป็นแพทย์ ขอให้แจ้งมายังแพทยสภาเพื่อตรวจสอบ หรือ ผู้เสียหายสามารถไปแจ้งความดำเนินคดีได้
นพ.อำนาจ ยังกล่าวถึง
รพ.เอกชนหลายแห่งที่รับหมอปลอมเข้าทำงานว่า จะมีความผิดด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนรับบุคคลที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะเข้าทำงาน ซึ่งต้องดูเจตนาว่าตั้งใจหรือไม่ หากไม่แน่ใจว่าผู้ที่ให้การรักษาเป็นแพทย์จริงหรือไม่ สามารถตรวจสอบว่า แพทย์ที่ให้การรักษาจบแพทย์จริงหรือไม่ที่ www.tmc.or.th.