หลานสาวฟ้องยายแบ่งมรดก2หมื่นล้าน

มรดกรถแก๊สพ่นพิษ ! หลานสาวฟ้องยายขอแบ่งมรดก 2 หมื่นล้าน หลังตาอดีตเป็นอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินเสียชีวิต ระบุเงินแบ่งมรดกมีถึง 4 พันล้าน เดิมต้องตกเป็นของมารดาแต่มารดาตายในเหตุการณ์รถแก๊สระเบิดปี 33 ทรัพย์สินจึงตกเป็นของหลาน พร้อมฟ้องเครือญาติปลอมแปลงเอกสารหุ้นระนาว
 

คดีฟ้องร้องแบ่งเงินมรดกก้อนโตจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ถูกเปิดเผยเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน

ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ห้องพิจารณาคดี 7 ศาลได้ขึ้นบัลลังก์นัดสอบคำให้การจำเลย โดยมี น.ส.ธิติมา เลขะวณิช เป็นผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.วินิตา เลขะวณิช ฝ่ายโจทก์ยื่นฟ้องเครือญาติคือ

นายอภิรัชต์ พลางกูร ที่ 1
น.ส.พิมพ์ชนก พลางกูร ที่ 2
นางวิศาขา ทินกร ณ อยุธยา หรือนางวิสาขา พลางกูร ที่ 3
นายศักรรินทร์ พลางกูร ที่ 4
น.ส.ดัชกรนี พลางกูร หรือนางดัชนีกร ไตรวิทยาคุณ ที่ 5
นางอัชรี ตันธุวนิตย์ ที่ 6
นางเฉลิมศรี ชาญด้วยกิจ ที่ 7
นายบดินทร์ พลางกูร ที่ 8

ฐานความผิด ร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ให้จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชน โดยประการที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ร่วมกันลักทรัพย์ รับของโจร

ในวันนี้หลังจากศาลได้พิจารณาแล้วว่าคดีมีมูลความผิดในชั้นไต่สวนจึงนัดสอบคำให้การจำเลย

ซึ่งฝ่ายจำเลยเดินทางมารายงานตัวและเตรียมใช้หลักทรัพย์ยื่นประกันตัว 7 คน แต่ศาลให้ทำการไกล่เกลี่ยก่อน ขณะเดียวกัน มีจำเลยเพียง 5 คน ที่เดินทางมารายงานตัว คือ นายอภิรัชต์ พลางกูร ที่ 1 น.ส.พิมพ์ชนก พลางกูร ที่ 2 นางวิศาขา ทินกร ณ อยุธยา หรือนางวิสาขา พลางกูร ที่ 3 นางอัชรี ตันธุวนิตย์ ที่ 6 นางเฉลิมศรี ชาญด้วยกิจ ที่ 7 ส่วนจำเลยอีก 3 คน ไม่สามารถเดินทางมาได้ โดยให้เหตุผล คือ นายศักรรินทร์ พลางกูร ที่ 4 ติดราชการ น.ส.ดัชกรนี พลางกูร หรือ นางดัชนีกร ไตรวิทยาคุณ ที่ 5 แพทย์นัดคลอด และนายบดินทร์ พลางกูร ที่ 8 ศึกษาอยู่ต่างประเทศ ซึ่งจำเลยที่ 8 ศาลพิจารณาแล้วว่าข้ออ้างไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เนื่องจากทราบเรื่องก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ศาลรอให้

มีการไกล่เกลี่ยก่อนจึงยังไม่ออกหมายจับ

นายทองมั่น เพิกเฉย ทนายความฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า

ฝ่ายโจทก์ฟ้องร้องรวม 8 คดี คดีวันนี้เป็นคดีที่จำเลยปลอมแปลงเอกสารและรายงานการประชุมอันเป็นเท็จในการโอนหุ้นบริษัท พัฒนาภูดอย (1995) จำกัด หรือปัจจุบันใช้ชื่อว่า บาลังคิวลา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่ง น.ส.วินิตา โจทก์ ในฐานะที่เป็นทายาทของผู้ร่วมถือหุ้นไม่รู้เห็น หรือทราบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ศาลพิจารณาในชั้นไต่สวนแล้วคดีมีมูลความผิด จึงนัดสอบคำให้การจำเลย
 

 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทนายจำเลยขอศาลทำการไกล่เกลี่ย ซึ่งศาลก็เห็นควร เนื่องจากเป็นคดีครอบครัวน่าจะมีการประนีประนอมกันได้

ซึ่งมีการนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา 10.00 น. มีนางสมลักษณ์ พลางกูร อายุ 79 ปี ผู้เป็นยายของ น.ส.วินิตา ที่ถูกฟ้องร้องอีกคดีเดินทางมาด้วย อีกทั้ง น.ส.วินิตาจะเดินทางกลับจากศึกษาต่างประเทศในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ เพื่อมาให้การในชั้นศาลเช่นกัน นอกจากนี้ ทนายจำเลยยังขอให้ศาลอนุญาตให้สามารถทำการพิจารณาลับหลังจำเลยซึ่งศาลก็อนุญาต
 

 นายทองมั่น กล่าวว่า

จริงๆ แล้วในวันนี้ฝ่ายของจำเลยจะต้องมารายงานตัวทั้ง 8 คน โดยทราบว่าฝ่ายจำเลย 1-7 ได้ยื่นประกันตัวแล้ว ยกเว้นจำเลยที่ 8 คือ นายบดินทร์ พลางกูร ที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศนั้นศาลเห็นว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เตรียมออกหมายจับหากไม่เดินทางมารายงานตัว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอฟังผลการไกล่เกลี่ยก่อน ถ้าไกล่เกลี่ยได้ก็ไม่ต้องออกหมายจับจำเลยที่ 8 และคนอื่นๆ
 

 นายทองมั่น กล่าวด้วยว่า

นอกจากนี้ ยังมีคดีอื่นๆ ที่โจทก์ยื่นฟ้องรวม 8 คดี โดยมีคดีที่ยื่นฟ้องนางสมลักษณ์ พลางกูร ผู้เป็นยายและผู้จัดการมรดก รวม 3 คดี คือ 1.คดีฟ้องแบ่งมรดกกว่า 4,000 ล้านบาท 2.ฟ้องเพิกถอนผู้จัดการมรดก และ 3.ฟ้องยักยอกทรัพย์ ทั้ง 3 คดีอยู่ระหว่างนัดสืบผู้คัดค้าน ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในวันที่ 21-23, 26 พฤศจิกายน นัดสืบผู้คัดค้านคดีฟ้องเพิกถอนผู้จัดการมรดก ในวันที่ 27 พฤศจิกายน จะสืบผู้คัดค้านคดีฟ้องแบ่งมรดก ในวันที่ 30 พฤศจิกายน จะสืบผู้คัดค้านคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งในคดีทั้งหมดเรามีเอกสารหลักฐานพร้อมมูลที่ยืนยันได้ว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิดจริง เนื่องจากพบว่ามีการขายที่ดินและทรัพย์สินโดยไม่แจ้งให้ทายาททราบ
 

 ผู้สื่อข่าวสอบถามนายอภิรัชต์ พลางกูร จำเลยที่ 1 เกี่ยวกับคดีดังกล่าว โดยได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า

ตนไม่ขอเปิดเผยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว ตนไม่อยากให้ตกเป็นข่าวใหญ่โต เรื่องทั้งหมดให้พูดคุยกับทนายความ ขณะเดียวกัน ด้านทนายความฝ่ายจำเลยก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ

ด้าน น.ส.ธิติมา เลขะวณิช เปิดเผยถึงการฟ้องร้องมรดกมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทว่า

หลังจากนายวราวุธ เลขะวณิช สถาปนิก และเจ้าของบริษัท Arcform น้องชายและนางต้องใจ เลขะวณิช เสียชีวิต เพราะเหตุการณ์รถแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2533 ตอนเกิดเหตุนายวราวุธและนางต้องใจเพิ่งกลับจากเดินทางไปเจรจาธุรกิจที่โรงแรมในบริเวณดังกล่าว ระหว่างที่นายวราวุธจอดรถติดไฟแดงโดยจอดเป็นคันที่สาม ทันทีที่รถแก๊สระเบิดทั้งนายวราวุธและนางต้องใจไม่สามารถหนีออกมาจากรถได้ทำให้ถูกไฟลวกทั้งคู่ นายวราวุธ อาการค่อนข้างสาหัส เพราะโดนไฟเผาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากตอนที่เกิดเหตุได้ใช้ตัวบังนางต้องใจไว้
 

 "น้องชายเสียชีวิตก่อน จากนั้นน้องสะใภ้นอนพักอยู่โรงพยาบาลอีก 9 วันแล้วก็เสียชีวิตลง ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คือ น.ส.วินิตา เลขะวณิช หรือปุ๊ก และนายวราชัย เลขะวณิช หรือปอม ตอนเกิดเหตุทั้งสองคนอายุยังน้อยเพียงแค่ 7 ขวบ กับ 1 ขวบเท่านั้น ไม่มีใครบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่ของเขาได้ แต่บอกว่าพ่อแม่เดินทางไปเมืองนอก มันเป็นเรื่องที่เศร้ามากที่เราจะบอกให้เด็กรู้ว่าต่อไปเขาจะต้องอยู่กันตามลำพังโดยปราศจากพ่อและแม่คอยดูแล" น.ส.ธิติมา กล่าว
 

 น.ส.ธิติมา กล่าวว่า

หลังจากที่น้องชายและน้องสะใภ้เสียชีวิต ก็เกิดปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูซึ่งญาติฝ่ายน้องสะใภ้ไม่สามารถตกลงเจรจากันได้ จนทำให้เกิดการฟ้องร้องขึ้น ในที่สุดตนก็ได้สิทธิรับเด็กทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากตนไม่มีภาระ ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก รักเด็กทั้งสองคนเหมือนกับลูกของตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นทั้งผู้ปกครองและแม่บุตรธรรม 
"ตลอดเวลาที่ฉันได้สิทธิการดูแลเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนมา ปรากฏว่าญาติฝ่ายน้องสะใภ้ไม่ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือ ไม่เคยติดต่อมาแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและน่าประหลาดใจมาก แต่เราก็เลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนอย่างดี ทั้งเรื่องเรียน เรื่องอื่น เราดูแลเขาตลอด ไม่บกพร่อง ดูแลอย่างดีที่สุด "น.ส.ธิติมา กล่าว
 

 น.ส.ธิติมา กล่าวอีกว่า

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2547 นายบรรเจิด พลางกูร อดีตอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นบิดาของน้องสะใภ้เสียชีวิต โดยนายบรรเจิดนั้นมีทรัพย์มรดกและทรัพย์สินต่างๆ ทั้งที่ดินและเงินสดจำนวน 2 หมื่นล้านบาทด้วยกัน ซึ่งถ้าหากจะแบ่งมรดกแล้วตามสิทธิ น้องสะใภ้ตนนั้นต้องมีสิทธิรับ 1 ส่วนเพราะเป็นลูกสาวคนที่สามของนายบรรเจิด ดังนั้น ต้องมีสิทธิได้รับมรดก 1 ส่วน คือ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดกทั้งหมดคือ ประมาณ 4,000 ล้านบาท

 "ตามสิทธิแล้วลูกสาวและลูกชายของน้องสะใภ้จะต้องได้รับส่วนแบ่งมรดก แต่ปรากฏว่านางสมลักษณ์ พลางกูร ซึ่งเป็นภรรยาของนายบรรเจิดและมีศักดิ์เป็นยายของเด็กทั้งสองคน ไม่ได้จัดการจัดสรรแบ่งมรดกให้ และยังมีการแบ่งขายทรัพย์มรดกบางส่วนให้บุคคลภายนอก โดยที่ไม่ได้แจ้งให้ฉันได้รับทราบ" น.ส.ธิติมา กล่าว
 

 น.ส.ธิติมา กล่าวด้วยว่า

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นในบริษัทที่เป็นของน้องสะใภ้กับน้องชาย เมื่อทั้งสองเสียชีวิตหุ้นจะต้องเป็นของลูกทั้งสองคน แต่ปรากฏว่ามีการทำเอกสารเท็จโอนหุ้น ที่ทั้ง น.ส.วินิตา และนายวราชัยไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วย เรื่องนี้ทำให้เสียผลประโยชน์รายได้ที่จะต้องได้จากค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คิดเป็นเงินมูลค่าหลายสิบล้านบาท
 

 น.ส.ธิติมา กล่าวต่อว่า

เมื่อเกิดปัญหาหลายอย่างในเรื่องทรัพย์สิน โดยนางสมลักษณ์ไม่ยอมจัดการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททั้งสองคน และยังมีการปกปิดทรัพย์สินบางส่วน ทำให้ น.ส.วินิตา ซึ่งเป็นหลาน ต้องยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมกลับคืนมา ที่ผ่านมาเคยไปติดต่อเพื่อของแบ่งทรัพย์มรดกตามสิทธิที่ควรจะได้รับแต่ก็ถูกนางสมลักษณ์เพิกเฉย

 "ตลอดเวลาที่มีเรื่องฟ้องร้องกัน นางสมลักษณ์ไม่เคยติดต่อขอไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่อยากให้เป็นคดีความแต่จำเป็นต้องทำ ฝ่ายเราก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ยังอยู่สบาย มีกินมีใช้ แต่เราต้องทำเพราะอยากปกป้องสิทธิที่เป็นของเรา สิทธิของคนที่ตายไปแล้ว เราต้องการความยุติธรรม ถึงแม้ว่าภาพที่ออกสู่สายตาสังคมจะไม่ดีนักก็ตาม แต่เราเป็นฝ่ายถูกกระทำ เจ็บปวดแสนสาหัส ถ้าไม่ถึงที่สุดคงจะไม่ทำ" น.ส.ธิติมา กล่าวในตอนท้าย


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์