สนช.เสนอ กม.กะเทยแปลงเพศ ใช้นางหรือ น.ส.ได้

ล่าสุดได้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติฯกลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวเพื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขคำนำหน้านามบุคคลเพื่อให้บุคคลสามารถใช้ได้ตามความเป็นจริง หากมีการแปลงเพศแล้ว ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 24 ต.ค. 2550

มีวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คำนำหน้านามบุคคล พ.ศ. ...

ที่นางจุรี วิจิตรวาทการ สมาชิก สนช. และคณะจำนวน 39 คน เป็นผู้เสนอ โดยนางจุรีให้หลักการและเหตุผลว่า เนื่องจากปัญหาการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคล โดยเฉพาะสตรีในเรื่องการใช้คำนำหน้านาม ทำให้เกิดผลกระทบต่อสตรีในการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประกอบอาชีพ การศึกษาของบุตร ตลอดจนการทำนิติกรรมต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ให้ความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล

ทั้งยังกำหนดให้รัฐต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ขององค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี

ดังนั้น รัฐภาคีต้องใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและมาตรการ

เพื่อเป็นหลักประกันว่าสตรีจะต้องได้รับสิทธิและโอกาสจากรัฐบนพื้นฐานของความเสมอภาค และเพื่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรี และเป็นทางเลือกให้แก่บุคคลที่ผ่านการแปลงเพศในการใช้คำนำหน้านามด้วย ซึ่งกฎหมายที่จะตราขึ้นนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดภาระแก่บุคคล โดยให้ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.มหาดไทย และ รมว.  สาธารณสุข เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อยู่ที่มาตรา 5

ให้หญิงที่จดทะเบียนสมรส แล้ว สามารถใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ ขณะที่มาตรา 6 ให้หญิงที่จดทะเบียนสมรสและภายหลังได้ทำการจดทะเบียนหย่า สามารถใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ มาตรา 7 ให้ชายที่ผ่าตัดแปลงเพศเป็นเพศหญิง โดยผ่านการรับรองจากคณะกรรมการทางการแพทย์ และมีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถใช้คำนำหน้าว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ และมาตรา 8 ให้หญิงที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศเป็นเพศชาย โดยผ่านการรับรองจากคณะกรรมการทางการแพทย์ และมีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถใช้คำนำหน้านามว่า “นาย” ได้