อธิบดีกรมการค้าภายในเตรียมส่งเจ้าหน้าที่พบผู้บริหารเครือสหพัฒน์
ขอร้องอย่าเพิ่งปรับราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ขึ้นอีก 1 บาทต่อซอง หวั่นกระทบค่าครองชีพของผู้บริโภคหนักขึ้น พร้อมเตรียมเชิญผู้บริหารห้างสรรพสินค้าและผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่หารือสัปดาห์หน้า
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน
เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ไทยเพรสซิเดนท์ ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์เตรียมปรับราคาขึ้นอีก 1 บาทต่อซอง จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 บาทต่อซอง เป็น 6 บาทต่อซอง ด้วยเหตุผลไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ว่า กรมการค้าภายในเข้าใจถึงผลกระทบดังกล่าวดี
แม้ว่ามาม่าจะไม่เป็นสินค้าควบคุม แต่เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการครองชีพและจำเป็นต่อการบริโภคของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก
โดยสินค้ามาม่ามีมูลค่าการตลาดสูงกว่าร้อยละ 52 ยังไม่รวมสินค้าชนิดเดียวกันที่มีมูลค่าการตลาดและความต้องการของผู้บริโภคสูง
“ผมจะส่งเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าภายในไปพบและชี้แจงให้ผู้บริหารในเครือสหพัฒน์ทราบและจะขอร้องในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่จะสามารถตรึงราคาสินค้าชนิดดังกล่าวต่อไปอีกได้หรือไม่ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่หากฝ่ายบริหารเครือสหพัฒน์ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนดังกล่าวต่อไปได้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจะต้องรับภาระการปรับราคาสินค้าดังกล่าวต่อไป” นายยรรยง กล่าว
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า
สัปดาห์หน้ากรมการค้าภายในจะเชิญกลุ่มผู้บริหารห้างสรรพสินค้ารายใหญ่และผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่มาหารือถึงผลกระทบต่อต้นทุนและจะขอร้องผู้ประกอบการ หากรายใดยังแบกรับภาระต้นทุนได้ก็ขอให้แบกรับไปก่อน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยในช่วงที่ค่าครองชีพมีแนวโน้นสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้
ส่วนแนวทางการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค นอกจากมีการติดตามตั้งแต่ต้นทุนอย่างใกล้ชิดแล้ว มีแนวความคิดที่จะดึงกลุ่มแม่บ้านทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นอย่างดีให้เข้ามาเป็นอาสาสมัครดูแลราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่
หากพื้นที่ใดมีการปรับขึ้นราคาสินค้าแพงเกินเหตุและไม่มีเหตุผล อาสาสมัครสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคดำเนินการทางกฎหมายได้ทันที ขณะที่แนวทางการออกตรวจเช็กราคาสินค้าตามตลาดสดต่าง ๆ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และจะออกตรวจสอบโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ทราบ
สำหรับเทศกาลอาหารเจที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11-20 ตุลาคมนี้
กรมการค้าภายในร่วมกับผู้ประกอบการและตลาดสด 11 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศจะจัดมุมอาหารเจช่วยเหลือคนไทยเชื้อสายจีนให้ซื้ออาหารเจไม่แพงจนเกินไป
และเท่าที่มีการตรวจสอบราคาผักสดเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลอาหารเจปีที่แล้ว ราคาไม่แตกต่างกันมากนัก ยกเว้นผักขึ้นฉ่ายปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 30-40 บาทต่อกิโลกรัม แต่ขณะนี้อยู่ที่ 50-60 บาทต่อกิโลกรัม โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมปริมาณผักมีน้อยจึงมีราคาแพงขึ้น
แต่หากดูผักสดชนิดอื่น ๆ ที่เป็นวัตถุดิบมาทำอาหารเจ เช่น ผักบุ้งจีนปีที่แล้วอยู่ที่ 8-12 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 12-15 บาทต่อกิโลกรัม แต่ผักสดที่มีราคาลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น ผักกวางตุ้งปีที่แล้วอยู่ที่ 15-20 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 10-12 บาทต่อกิโลกรัม ถั่วฝักยาวปีที่แล้วอยู่ที่ 30-35 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 20-22 บาทต่อกิโลกรัม ผักคะน้าปีที่แล้วอยู่ที่ 16-22 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 15-22 บาทต่อกิโลกรัม กะหล่ำปีปีที่แล้วอยู่ที่ 8-10 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้อยู่ที่ 7-12 บาทต่อกิโลกรัม
ซึ่งนายยรรยง กล่าวว่า
ผักสดเหล่านี้ถือเป็นวัตถุดิบอาหารเจ เมื่อไม่ปรับขึ้นจึงไม่มีเหตุผลที่อาหารเจสำเร็จรูปจะปรับราคาแพงขึ้น โดยกรมการค้าภายในจะขอร้องให้ผู้ค้าอาหารเจสำเร็จรูปไม่ปรับราคาอาหารแพงเกินเหตุ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะรับประทานอาหารอีกทางหนึ่ง