ดูเร็กซ์ชี้การเมือง ทำคนไทยเซ็กซ์ฝ่อ

"ดูเร็กซ์" เผยผลสำรวจเซ็กซ์ทั่วโลก หนุ่มออสเตรียครองแชมป์มีคู่รักมากสุด 29 คน


ส่วนชายไทย 12 คน สูงสุดใน เอเชีย สาวไทยแค่ 2 คน ขณะที่ตัวเลขเฉลี่ยทั่วโลก 13 คน เผยปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจ ทำคนไทยอารมณ์ฝ่อ คู่รักกุ๊กกิ๊กกันน้อยลง จากสถิติ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหลือแค่ครั้งเดียว หรือเพียง 4 ครั้งต่อเดือน

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 3 ต.ค.ที่โรงแรมเลอ บัว แอทสเตท ทาวเวอร์

มีการแถลงข่าวเรื่อง "คนไทยเบื่อหน่ายชีวิตรัก หมดไฟสร้างสรรค์กิจกรรมตื่นเต้นในห้องนอน" และเปิดเผยผลสำรวจดูเร็กซ์ "เซ็กซ์ช่วล เวลบีอิ้ง โกลบัล เซอร์เวย์ เรื่องชีวิตรักในห้องนอน" โดยมีน.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูติ-นรีแพทย์ นายโตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการบริหารนิตยสารจีเอ็ม และนายเกริก ชิลเลอร์ และ อ้อม-ศานันทินี คู่รักดาราร่วมพูดคุย

บริษัทดูเร็กซ์เผยผลสำรวจข้อมูลเชิงลึกด้านความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ของชีวิตคู่ จากการสำรวจประชากร 26 ประเทศ

จากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 26,028 คน เป็นผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว 22,040 คน พบว่า ผู้ชายมีคู่รักเฉลี่ยมากกว่าหญิง โดยผู้ชายออสเตรีย มีจำนวนคู่รักมากที่สุดเฉลี่ย 29 คน รองลงมาเป็นชายรัสเซียและกรีซ 28 คน บราซิล 27 คน ออสเตรเลีย 25 คน สวิตเซอร์แลนด์ 24 คน ขณะที่ผู้ชายไทยมีคู่รักมาเป็นลำดับที่ 15 แต่สูงมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เฉลี่ย 12 คน ขณะที่หญิงไทยมีคู่รักเฉลี่ย 2 คน ซึ่งจำนวนเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 13 คน

จากผลการสำรวจพบว่า


53 % ของผู้หญิงไทยยินดีเผยเรื่องเพศสัมพันธ์กับคู่รัก ขณะที่ผู้ชายไทย 62 % บอกคู่รักถึงความปรารถนาของตัวเอง และอีก 38 % อายเกินกว่าที่จะพูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์ กับคู่รักของตนเองขณะที่ 58% ทั่วโลกบอกคู่รักถึงความปรารถนาของตนเอง ส่วนเรื่องการสื่อสารในสิ่งที่ต้องการ 49% ที่รู้สึกลำบากใจเมื่อต้องพูดถึงเรื่องกิจกรรมบนเตียงกับคู่ของตน ขณะที่ 29% กลับปรึกษาเรื่องดังกล่าวในกลุ่มเพื่อนฝูงแทน

ผลสำรวจระบุทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงทัศนคติที่มีต่อสินค้าที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ พบว่า

ผู้ชายไทย 41% เห็นว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มสีสันชีวิตรักในห้องนอน ควรจะมีการวางขายตามสถานที่จำหน่ายสินค้าทั่วไปอย่าง ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้ายขายยา โดยคนไทยกว่า 2 ใน 3 หรือ 66% อยากเห็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ทุกชนิดวางรวมอยู่ในบริเวณเดียวกันของสถานที่จำหน่าย ส่วนประเภทของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่เคยใช้ พบว่า อัตราการใช้ถุงยางอนามัย เพศชายมีอัตราการใช้ 44 % เพศหญิง 39 % สื่อทางเพศ เพศชายมีอัตราการใช้ 51% เพศหญิง 14% เจลหล่อลื่น เพศชายมีอัตราการใช้ 20% เพศหญิง 7% เซ็กซ์ทอยประเภทสั่น เพศชายมีอัตราการใช้ 1% หญิง 6%

นอกจากนี้ยังพบว่า ความหลากหลายในการมีเพศสัมพันธ์

คนไทยมีจินตนาการ 68% เมื่อเทียบกับ สวิตเซอร์แลนด์ มีความหลากหลาย สูงสุด 77 % เรื่องการออรัลเซ็กซ์คนไทย 79 % เทียบกับกรีซ สูงสุด 81% เรื่องของอุปกรณ์เสริมคนไทยมีการใช้ 71% สูงสุดคือรัสเซีย 73% สำหรับวิธีการคุมกำเนิดที่เลือกใช้ ลำดับแรกคือ ถุงยางอนามัย 59% การหลั่งข้างนอก 38% ยาคุมกำเนิดประเภทรับประทาน 27% การนับระยะปลอดภัย 20% การคุมกำเนิดฉุกเฉิน แบบหลังมีเพศสัมพันธ์ 13% การทำหมันในผู้หญิง 4% การทำหมันในผู้ชาย 3% ยาฉีดยาคุมกำเนิด หรือยาฝังคุมกำเนิด 3%

น.พ.พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ผลสำรวจในเรื่องความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์


69% มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยใช้เวลาเฉลี่ย 29 นาที ซึ่งจากข้อมูลปีก่อน คนไทยมีเพศสัมพันธ์ เฉลี่ย 98 ครั้งต่อปี หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ขณะนี้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเหลือเพียง 4 ครั้งต่อเดือน ซึ่งปัญหาเกิดจากสังคมที่เปลี่ยนไป ความเครียดเพิ่มขึ้น จากสภาพเศรษฐกิจ การเมือง จากการสำรวจยังพบว่า การสร้างความสุขสมให้ตัวเอง เป็นการปลดปล่อยตามวิธีธรรมชาติตามจินตนาการ พบว่า สาวไทย 26% พอใจที่จะทำมาสเตอร์เบชั่น ชายไทย 62% พอใจที่ทำมาสเตอร์เบชั่น ขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ 83% ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า ชีวิตรักไม่มีความสุข

"การทำมาสเตอร์เบชั่น เป็นเรื่องปกติทั้งชายหญิง ที่สามารถทำได้ เพราะเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ และไม่เป็นการทำร้ายใคร โดยเฉพาะในเพศหญิง สมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับอารมณ์ จินตนาการ จะมีมากกว่าเพศชาย สามารถจะจินตนาการให้ถึงจุดสุดยอดโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเพศชายมีสมองซีกขวา ซึ่งเกี่ยวกับหลักการมากกว่า ขณะที่ความต้องการทางเพศของหญิงและชายต่างกัน เพราะเป็นเรื่องของฮอร์โมนทางเพศที่สวนทางกันของชาย-หญิง ผู้ชายเหมือนเตาแก๊ส เปิดปุ๊บติดปั๊บ ขณะที่ผู้หญิงเหมือนเตาไฟฟ้า ที่ต้องใช้เวลาอุ่นนานกว่าจะร้อน วิธีแก้ปัญหาให้ชีวิตรักมีความสุข คู่รักจึงต้องสร้างบรรยากาศให้มากขึ้นเพื่อคลายเครียด หรือสร้างเสียงหัวเราะในครอบครัว" น.พ.พันธ์ศักดิ์ กล่าว

นายโตมร กล่าวว่า โลกสมัยใหม่มีความซับซ้อนทางเพศมาก

รวมถึงมีการใช้วาทกรรมทางการแพทย์มาควบคุมพฤติกรรมของหญิงไทยหรือชายไทยมากขึ้น เช่น หญิงอายุ 30 ปี ขึ้นไปมีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งปากมดลูกมากขึ้นเพราะแต่งงานช้า หรือเด็กเป็นมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นการตีกรอบว่าหญิงควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุเท่าไหร่ ขณะที่ความเป็นจริงไม่มีสิ่งไหน ชี้ชัดได้ว่าคนเราควรมีเพศสัมพันธ์อายุเท่าไหร่กันแน่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ความพร้อมและความเหมาะสม

"สังคมไทยอิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้จะเดินทางไหนดี ดูได้จากการรณรงค์ยืดอกพกถุง ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างการแพทย์กับวัฒนธรรมไทย ซึ่งวัฒนธรรมไทยสนใจให้คนทำแต่เรื่องดีงาม จึงทำให้คนไม่กล้าที่จะบอกความจริง หรือความต้องการทางเพศของตัวเอง ทำให้เป็นปัญหาของคู่รัก หรืออย่างการมีกิ๊ก ที่ชายหรือหญิงอาจมีกิ๊กได้หลายคนเพื่อทดแทนสิ่งที่คู่รักจริงๆ ไม่มี หรือต้องการความแปลกใหม่ ไม่จำเจ ซึ่งสังคมไทยบางครั้งอาจรับไม่ได้ แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น และในอนาคตอาจยิ่งมีมากขึ้น เช่นเดียวกับพรหมจรรย์ของเพศหญิง ที่ผู้ชายไทยยอมรับได้มากขึ้น เพราะพฤติกรรมทางเพศของตัวเองทำให้เข้าใจสังคมได้มากขึ้น ว่าผู้หญิงอาจมีใครมาก่อนได้เช่นกัน" นายโตมร กล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์