เกิดอุบัติเหตุสยองขึ้นกลางกรุงจนได้
เมื่อนักศึกษาหนุ่มซิ่งเก๋งเซฟิโร่พุ่งชนรถชาวบ้านในอุโมงค์ท่าพระ มีรถคู่กรณีเสียหายหลายคัน มีชาวต่างชาติที่นั่งมาในรถแท็กซี่เสียชีวิตคาที่ 1 ราย บาดเจ็บอีก 5
สาเหตุเกิดจากคนขับรถเซฟิโร่ขับขี่ด้วยความเร็ว
ทั้งๆ ที่รถกำลังแล่นลงอุโมงค์ เลยเสียหลักกินเลนไปเฉี่ยวชนรถชาวบ้านเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ความแรงของอุบัติเหตุครั้งนี้ถึงขนาดที่เครื่องยนต์รถเซฟิโร่กระเด็นหลุดออกมาจากห้องเครื่องเลยทีเดียว
เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทโดยแท้!!
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนสายวันที่ 20 ก.ย.
ร.ต.ต.สัจพงศ์ วิรัชวรกุล ร้อยเวร สน.ท่าพระ รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนหลายคัน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต บริเวณก่อนถึงทางลงอุโมงค์ลอดใต้สี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น พร้อมด้วย พ.ต.ท.จอมพล พิเศษกุล สว.จร. รุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยหน่วยกู้ชีพ ร.พ.ศรีวิชัย และมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุมีฝนตกพรำ พบรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน รุ่นเซฟิโร่ สีบรอนซ์เงิน
ทะเบียน 8ว-8781 กทม. จอดขวางเลนอยู่ทางขึ้นอุโมงค์ในสภาพด้านหน้าพังเยิน โดยที่ตัวเครื่องยนต์ได้หลุดออกมาทั้งดุ้น กระเด็นไปอยู่บนถนนห่างตัวรถประมาณ 50 เมตร โชเฟอร์รถเก๋งเซฟิโร่ คือ นายเอกชัย สรรเสริญ อายุ 21 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปวส.ปี 2 ช่างอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ภาคค่ำ และทำงานเป็นช่างซ่อมรถบีเอ็มดับบลิว ย่านพระราม 3 เจ้าหน้าที่กู้ภัยหามส่งร.พ.ศรีวิชัย 1 เนื่องจากขาข้างซ้ายหักและคอเคล็ดเกิดจากแรงกระแทก
ทางลงอุโมงค์อันตราย 6คันชนยับดับสยอง ใต้ทางลอดแยกท่าพระ
ใกล้กันยังพบรถยนต์นั่งกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไมตี้เอ็กซ์ สีเทา
ทะเบียน 3ท-1366 กทม. โดยด้านท้ายรถบริเวณไฟทางด้านขวาแตก มีนายอนุสรณ์ เนียมลาภ อายุ 43 ปี เป็นผู้ขับขี่ ยืนอยู่บริเวณหน้ารถ ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ถัดไปเป็นรถแท็กซี่สีเหลืองคาดดำ ทะเบียน ทบ-112 กทม. สภาพด้านหน้าขวาพังยุบ มีนายอำพร นิลงาม อายุ 60 ปี เป็นโชเฟอร์ ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
แต่ใกล้รถแท็กซี่คันดังกล่าวเป็นรถแท็กซี่อีกคันของสหกรณ์สุวรรณภูมิ ยี่ห้อโตโยต้า
สีเขียว ทะเบียน ทม-278 กทม. สภาพด้านหน้ารถทางด้านขวาพังยับเยิน ล้อหน้าขวาและทางด้านหลังแตก มีนายวิโรจน์ เต็มบุญบริสุทธิ์ อายุ 34 ปี เป็นโชเฟอร์ ได้รับบาดเจ็บคอเคล็ด ถูกนำส่งร.พ.ไปพร้อมๆ กัน และที่เบาะหลังรถคันดังกล่าวพบผู้โดยสารบาดเจ็บ 1 ราย คือ น.ส.วัชราภรณ์ หัตถกิจนิกร อายุ 22 ปี ขาขวาหักจึงรีบนำส่งร.พ.เช่นกัน และนอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย ทราบชื่อคือ น.ส.วอลช์ เมลิสสา อายุ 31 ปี ชาวออสเตรเลีย เป็นอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศส ตายในสภาพคอและแขนหักอยู่คาเบาะที่นั่ง
เป็นภาพที่สยดสยองยิ่งนัก
ความเสียหายของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น
ใกล้กันยังพบรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู ทะเบียน ทร-7513 กทม. ถูกชนในสภาพด้านหน้าซ้ายพัง มีนายนิวัติ หาญอาสา อายุ 33 ปี เป็นโชเฟอร์ ได้รับบาดเจ็บที่ไหล่และคอ และคันสุดท้ายเป็นรถเก๋งฮอนด้า พรีลูด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ภว-633 กทม. สภาพรถหน้าขวาพังยับ มีน.ส.นิตยา ล้อมทอง อายุ 34 ปี พนักงานขายเครื่องสำอางยี่ห้อชาเนล อยู่ห้างดิ เอ็มโพเรียม เป็นเจ้าของรถได้บาดเจ็บที่บริเวณลำตัวและลำคอ ทั้งหมดถูกหามนำส่งร.พ.ศรีวิชัย 1
ผลพวงของอุบัติเหตุส่งผลทำให้รถติดยาวเป็นเวลานานหลายชั่วโมง กว่าเจ้าหน้าที่จะเคลียร์ที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิม
นายอนุสรณ์ เนียมลาภ ผู้ขับขี่รถกระบะไมตี้เอ็กซ์ ให้การว่า
ก่อนเกิดเหตุตนมาจากบ้านพักย่านพระราม 3 และจะมุ่งหน้าไปปิ่นเกล้า เมื่อขับกำลังจะลงอุโมงค์ซึ่งเป็นทางเลนเดียว จังหวะนั้นเป็นจังหวะที่ฝนตก เห็นรถเซฟิโร่ขับมาจากจรัญสนิทวงศ์ และขับกินเลนมาทางด้านรถของตนและเฉี่ยวไฟทางด้านหลังรถของตน จากนั้นได้เห็นรถเซฟิโร่หมุนเคว้งไปชนกับรถแท็กซี่สีเหลืองคาดดำ และไปชนกับรถแท็กซี่สีเขียวจนเครื่องยนต์ของรถเซฟิโร่กระเด็นหลุดจากกระโปรงหน้าไปกระแทกรถอีกคัน ส่วนรถเซฟิโร่ก็พุ่งชนรถอีก 2-3 คัน
"ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก"
ขณะที่นายอำพร นิลงาม โชเฟอร์รถแท็กซี่สีเหลืองคาดดำ เล่าว่า
ก่อนเกิดเหตุขับรถแท็กซี่รับสองแม่ลูกไปส่งที่ร.พ.ศิริราช ขณะวิ่งลงอุโมงค์มีฝนตกหนัก เห็นรถเซฟิโร่วิ่งกินเลนเฉี่ยวรถไมตี้เอ็กซ์และเสียหลักมาชนรถตนเป็นคันที่สอง จนเครื่องยนต์รถเซฟิโร่หลุดกระเด็น และไถลไปชนรถอีกหลายคันพังเสียหาย ส่วนสองแม่ลูกไม่เป็นอะไรจึงรีบเดินทางต่อไปที่ร.พ.ศิริราชทันที
สรุปว่างานนี้ตาย 1 บาดเจ็บ 5
สำหรับคนผิดอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งตอนนี้ต้องรอให้ผู้ขับขี่หายเจ็บดีเสียก่อนจึงจะทำการสอบปากคำได้
อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอย่างกว้างขวาง
เพราะจุดนี้เกิดเหตุขึ้นเป็นประจำ ชาวบ้านลงความเห็นว่าเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ และความไม่ชัดเจนของป้ายสัญญาณจราจร เพราะในที่เกิดเหตุเป็นทางแคบ รถวิ่งสวนกันได้ ไม่มีแท่งปูนหรือกรวยกั้นตรงกลางเพื่อป้องกันอุบัติเหตุแต่อย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาฝนตกจะทำให้ถนนลื่นมาก
เมื่อรถใช้ความเร็วลงอุโมงค์จึงทำให้เสียหลักพุ่งชนรถคันอื่นได้ง่าย ซึ่งวิธีแก้ไข พ.ต.ท.จอมพล พิเศษกุล สว.จร. บอกว่า ทำได้อย่างดีก็คือการฉีดน้ำล้างพื้นถนนในอุโมงค์ เพื่อลดฝุ่นละอองกันลื่นเวลาฝนตก หรือจะให้ดีต้องทำคันสะดุดก่อนลงอุโมงค์ทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อให้รถลดความเร็วลง และติดตั้งกรวยยางกั้นกลางก็จะพอช่วยลดปัญหาลงไปได้บ้าง แต่เมื่อตำรวจติดต่อไปยังสำนักงานเขตฯ กลับได้รับคำตอบว่ายังขาดงบประมาณดำเนินการ
ดังนั้น จึงเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้อีก!!
นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ออกมาแนะวิธีขับรถลอดอุโมงค์ว่า
ควรลดความเร็ว จนกว่าทัศนวิสัยในการมองจะมองได้ไกลขึ้น ซึ่งหลักปฏิบัตินี้ใช้ได้ไม่เฉพาะการขับรถลอดอุโมงค์เท่านั้น แต่นำไปใช้ได้กับการขับรถขึ้นลงเนินหรือสะพานด้วยเช่นกัน สำหรับความเร็วควรอยู่ในระดับ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งการขับรถโดยไม่ลดความเร็วขณะลอดอุโมงค์ ขึ้นลงเนินหรือสะพาน อาจทำให้พุ่งชนท้ายรถคันหน้าได้ ในกรณีที่รถคันหน้าจอด เบรก หรือ รถติด นอกจากนี้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความไม่คุ้นเคยในการขับรถลงอุโมงค์ด้วย
ไม่ประมาทไว้ก่อนเป็นการดี